เหมือนชีวิตกำลังเล่นปิงปองกับเรา ตีลูกยากง่ายใส่เราตลอดเวลา เรื่องกวนใจ ปัญหา ความสูญเสีย. บางคนเจอปัญหาแล้วจมอยู่ตรงนั้น ประทัวง “ลูกยากไม่เล่น”. บางคนยากง่ายรับหมดเต็มที่ เจอลูกยากอาจล้มเข่าถลอกแต่รีบลุกเล่นต่อ. ทำได้ไงอะ?
ชัยจะต้องพรีเซ็นต์หัวข้อแรกตอนเช้าในงานสัมมนาของผู้บริหารหลายองค์กร. เช้านี้รถติดสาหัส. เขาร้อนใจจึงโทรไปบอกผู้จัดว่ากำลังจะถึง ให้เตรียมที่จอดรถไว้ให้เพราะปกติจะเต็ม. เกือบเฉี่ยวชนหลายหน แต่รถเขาก็ถึงสถานที่ตรงเวลาพอดี. เขาพารถไปโซน VIP ช่องที่มีเลขทะเบียนรถเขา แต่ยามไม่ให้จอด. เหลือเชื่อตัวเลขผิดไปหลักนึง. ยามให้วนขึ้นไปจอดในอาคาร บอกดาดฟ้ามีที่ แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว. มันไม่ถูก เขาเถียง ช่องนี้เตรียมไว้ให้เขา ไม่ยุติธรรมเลย. รถข้างหลังต่อแถวยาวขึ้นๆ. เขายิ่งเถียงเสียงดังขึ้นๆ เลขผิดนิดเดียว เขาจอดโซนนี้ประจำ เจ้านายคุณรอเขาอยู่ ฯลฯ แต่ยามไม่ฟัง.
ชีวิตเรามีปัญหาตลอด
ในชีวิตเราจะพบกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ และความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต้องการ อยู่ตลอดเวลา. แต่เราพยายามมองไม่เห็นมัน. ถ้าเรื่องเล็กเราก็แค่สะสมความเครียด. เช่นเวลาหาของไม่เจอ, เพื่อนทำไม่ถูกใจ, โดนดูถูก ฯลฯ. ถ้าเรื่องใหญ่อาจทำให้เราท้อ ก้าวร้าว หรือทำร้ายตัวเอง. เช่นเวลาแฟนทิ้ง, สัตว์เลี้ยงตาย, ถูกใส่ร้าย ฯลฯ. ถ้าผ่านมันไปไม่ได้ ความสุขจะหายไปจากชีวิตเรา หรือลามไปถึงครอบครัว. ถ้าสังเกตรอบตัวเราจะพบว่า มีบางคนเมื่อเจอปัญหาแล้วสามารถผ่านไปได้เร็ว. บางทีเข้มแข็งขึ้นด้วย. พวกเขาเข้มแข็งกว่าคนอื่นหรือเปล่า? เปล่า. แต่เขามีทัศนคติต่อชีวิตต่างไป.
ปกติเราจัดการกับปัญหาอย่างไร
เมื่อเจอกับปัญหาที่เจ็บปวด เราจะมีอยู่ 4 ทางเลือก ไล่ไปตามลำดับ:-
เริ่มต้นถ้าประเมินว่าเราสามารถแก้ได้ เราก็จะลงมือ (1) แก้ปัญหา. แต่บางปัญหาต้องใช้เวลาแก้นาน หรือเราพยายามแล้วล้มเหลว หรือแย่ที่สุดคือไม่มีทางแก้ได้ เช่นเป็นอะไรที่สูญเสียไปแล้วเอาคืนไม่ได้ หรือต้องให้คนอื่นแก้หรือเปลี่ยนแปลง. แบบนี้ปัญหาจะยังคงอยู่กับเรา แต่เนื่องจากมันทำให้เราเจ็บปวด เราจึงพยายาม (2) เปลี่ยนมุมมองและความรู้สึกต่อมัน เช่นหาวิธีอธิบายมันใหม่ หรือหาข้อดีจนชอบมันได้. จะเห็นว่า 2 ข้อแรกคือการทำให้หมดปัญหา แต่หากมันแก้ไม่ได้ และไม่มีข้อดี หรือมีน้อยเมื่อเทียบกับข้อเสีย แปลว่าปัญหาจะต้องอยู่กับเราถาวร. เราจะเหลืออีก 2 ทางเลือกคือ (3) ยอมรับมัน กับ (4) ทรมานต่อไป.
มันยากที่จะยอมรับสิ่งที่เราไม่อยากให้เป็นจริง แต่มันคือความจริงอย่างที่เป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน. เนื่องจากปัญหาทำให้เราทุกข์ (โกรธ กลัว เสียใจ ท้อ) เราเกลียดทุกข์ เราจึงไม่อยากยอมรับปัญหา. อย่างกับไม่ยอมรับแล้วจะไม่ทุกข์ ก็ทุกข์อยู่ดี. พอไม่ยอมรับ ในหัวเราจะคิดวนเวียน อาลัยอดีต โหยหาอนาคต ไม่สามารถทนอยู่กับปัจจุบันได้. เพราะเราเกลียดความจริงในปัจจุบัน ทำให้เราเพิ่มความทรมานให้ตัวเองอีกอย่าง. เมื่อไม่ยอมรับก็คือเราเลือก (4) ทรมานต่อไป ก็เหมือนเวลาเราเกลียดแผล ก็เลยเปิดดูแผลแกะมันเรื่อยๆ เพราะรับไม่ได้ที่มันอยู่ตรงนั้น เลยยิ่งไม่หายหรือลามกว้างขึ้น.
แต่ถ้าเราเลือก (3) ยอมรับมันได้ทั้งปัญหาและความทุกข์จากปัญหา เราก็จะผ่านมันไป. มันยังคงเป็นปัญหา แต่ไม่คอขาดบาดตายสำหรับเราแล้ว. ปัญหาส่วนใหญ่ เช่นการสูญเสียอะไรที่รักหรือถูกโกง เพียงแค่เรายอมรับมันได้จริงๆ ความทุกข์ก็จะหายไปเกือบหมด. ปัญหานอกนั้น เช่นเป็นโรคร้าย ติดคุก หรือหมดตัว เมื่อเรายอมรับมัน ความทุกข์จะยังอยู่ แต่เราจะไม่ทรมานอีกต่อไป. เพราะ ความทรมาน คือ “ไม่อยากเป็นอย่างนี้”. เมื่อเราเลิกต่อสู้กับความจริง เราบอกว่า “อย่างนี้ก็โอเค” เราจะเหลือแต่ความทุกข์จากปัญหาล้วนๆ ไม่ทรมาน ซึ่งจะพอรับได้ง่ายขึ้นมาก. แล้วจากนั้นแผลก็จะเริ่มเยียวยาตัวเองจนหายสนิท.
ทำไมเราไม่ยอมรับปัญหา
ถ้าตัดสินใจด้วยเหตุผล ทุกคนควรจะเลือก (3) ยอมรับมัน. แต่ในความเป็นจริง เรามักจะเต็มใจเลือกทางเลือกที่โง่ (4) ทรมานต่อไป. นานเท่าไรขึ้นอยู่กับว่าเรารักตัวเองน้อยเพียงใด. เมื่อเราสงสารว่าตัวเองทรมานพอแล้ว เราก็จะเลือก (3) ยอมรับมันแทนเสมอ แล้วก็จบ ผ่านมันไปได้. แม้คนที่เลือก (4) ยังไงสักวันนึงก็จะต้องเลือก (3) แน่นอนไม่เร็วก็ช้า (ยกเว้นบางคนที่ยอมทรมานไปตลอดชีวิต หรือทนทรมานไม่ไหวเลยจบชีวิตตัวเอง.)
ถ้าเราเห็นแก่ตัวเอง ทำไมไม่เลือกยอมรับมันเร็วๆ? เหตุผลต่อไปนี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผล แต่เป็นเพียงข้ออ้าง รู้จักจดจำเอาไว้ เวลามันโผล่ขึ้นมาจะได้เถียงมันชนะ:-
ทางออกคือ “ยอมรับจากข้างใน”
“ยอมรับจากข้างใน (radical acceptance) คือ ปล่อยวางการต่อสู้กับความจริง. คำว่าจากข้างในหมายความว่า การยอมรับนั้นต้องมาจากส่วนลึกข้างใน และเป็นไปอย่างหมดสิ้นสมบูรณ์” — Marsha M. Linehan.
ยอมรับจากข้างในเป็นทักษะที่มาจากวิธีจิตบำบัดแบบ DBT (dialectical behavioral therapy). มันเป็นแนวคิดที่รู้จักกันดีในวัฒนธรรมของคนทั้งตะวันตกและตะวันออก ในชื่อต่างๆ เช่น let go, let it be, ปล่อยวาง, ช่างมัน, ให้มันแล้วไป, กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก ฯลฯ. เนื่องจาก Linehan (ซึ่งเป็นชาวคริสต์เคร่งศาสนา) พัฒนา DBT จากพุทธศาสนานิกายเซน ส่วนใหญ่จึงดูคุ้นเคยสำหรับคนไทย. แต่ฟังดูง่ายกับทำเองได้เป็นคนละเรื่อง. การยอมรับจากข้างในเป็นทักษะที่ไม่ได้มาง่ายๆ ไม่ใช่อ่านจบแล้วจะทำได้. เราต้องฝึกบ่อยๆ ชอบมัน พยายามทำตลอดเวลา ก็จะชำนาญขึ้นเรื่อยๆ. ร่วมกับฝึกสติความรู้สึกตัวให้อยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น. เมื่อยิ่งชำนาญขึ้นๆ ความทุกข์ก็จะน้อยลงๆ.
ปรับทัศนคติ
เข้าใจว่าทุกสิ่งสมเหตุสมผลแล้วที่เป็นแบบนี้
ยอมรับว่าทุกสิ่งทุกเหตุการณ์มีเหตุผล. ไม่ต้องมัวถามว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน.” ไม่ต้องฝันลมๆแล้งๆว่า “มันไม่ควรเป็นแบบนี้.” เพราะมันได้เกิดขึ้นแล้ว และทุกสิ่งเกิดจากเหตุ ไม่ว่าเราจะรู้หรือไม่ เห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม. ถนนขรุขระเพราะเทศบาลรับสินบน. สรรพากรเขตคำนวณภาษีผิด เพราะสรรพากรบีบยอด เพราะรัฐบาลต้องการรายได้. หมาตายเพราะพยาธิหัวใจ. แฟนนอกใจเพราะตกหลุมรักคนใหม่. ทุกสิ่งสมเหตุสมผลที่เป็นแบบนี้ แม้ว่าจะไม่ถูกใจเราก็ตาม.
เวลาเจอปัญหา เราก็ถามตัวเอง “มันเกิดมาจากอะไร?” “ทำไมเป็นแบบนี้?” แต่หากเราไม่รู้เหตุผล ก็ต้องเข้าใจว่ามันต้องมีเหตุผล เพียงแต่เราไม่รู้เท่านั้น. เมื่อเรารู้ว่ามันมีเหตุ แล้วเราจะยอมรับได้ว่า มันจำเป็นต้องเป็นแบบนี้จริงๆ. เพราะเมื่อมีเหตุ มันจึงต้องเกิดผลแบบนี้ ต่อให้เวลาย้อนกลับไป มันก็จะเกิดแบบเดิม. ถ้าเราไม่อยากให้มันเกิด มันก็ต้องไม่มีเหตุ ซึ่งตอนนี้มันก็ปลายเหตุแล้ว แก้ไขไม่ได้อยู่ดี. ดังนั้นทุกเรื่องที่เป็นอยู่ตอนนี้ จำเป็นที่จะต้องเป็นแบบนี้. มันแค่ขัดใจเราเท่านั้น. ส่วนที่ขัดใจเราอาจจะถูกใจคนอื่นก็ได้. โลกไม่ได้มีหน้าที่เอาใจเราอยู่คนเดียว. มันแค่ดำเนินไปตามเหตุผล.
ยอมรับว่าชีวิตมีค่าเสมอ
มีบางปัญหาที่เจ็บปวดที่สุด จนเรารู้สึกว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปไม่ได้แล้ว. เราสงสัยว่าจะอยู่ต่อไปอย่างไร หรือทำไม. สถานการณ์เช่น แฟนทิ้ง, หมาตัวโปรดตาย, เป็นโรคร้ายแรงระยะสุดท้าย, เป็นแพะติดคุก, เป็นหนี้มหาศาล ฯลฯ. สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้เลย ก่อนจะเจอปัญหาแบบนั้น คือยอมรับว่าชีวิตยังคงมีค่า แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด. มันจะง่ายขึ้น ถ้าเรารู้ว่าชีวิตเรามีหน้าที่อะไร ถ้าเรามีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม. เพราะเช่นนั้นปัญหาอะไรก็ทำให้เราไม่รู้จะอยู่ไปทำไมไม่ได้แล้ว เพราะเรามีคำตอบถาวรอยู่.
จากนั้นสำหรับเราจะมีแต่ปัญหา ไม่มีหายนะ. จะไม่มีปัญหาไหนที่เรารับไม่ได้. ไม่ว่าเราจะเจอสถานการณ์ยากลำบากเพียงไร เราจะตัดสินใจที่จะสร้างชีวิตที่มีค่าขึ้นมาจากสิ่งที่เหลืออยู่ตรงนั้นเสมอ. ชีวิตมีค่าเสมอแม้ว่าจะมีปัญหาร้ายแรงขนาดไหน. ไม่มีอะไรที่เราขาดไม่ได้ นอกจากชีวิต. ถ้าต้องการแรงบันดาลใจ หาหนัง survial ที่มาจากเรื่องจริงอย่าง 127 Hours และ The Pianist แล้วดูโดยรู้สึกว่าเราคือเขา. พอถึงตอนวิกฤตนั้นเราจะรู้สึกยังไง ยอมแพ้ไหม (คือตาย). ถ้ายอมแพ้ หามุมมองที่เราจะเลือกสู้ต่อไปเหมือนเขา.
ฝึกทักษะ
พูดกับความเป็นจริงในปัจจุบันว่าโอเค
การยอมรับ คือการผ่อนคลายทั้งกายและใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตั้งแต่หัวจรดเท้า อมยิ้มน้อยๆ. ปล่อยวาง ช่างมันทุกอย่าง แล้วพูดกับความเป็นจริงในปัจจุบันว่า “โอเค” (ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “yes”. อีกคำที่น่าจะใช้ได้คือ “ได้”) เราบอกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันโอเคหมด ฉันรับได้หมด. จะไม่ชอบก็เถอะ แต่โอเค เต็มใจ. เหมือนหลังจากทะเลาะกับเพื่อน พอคืนดีกันแล้วเราบอกเขาว่า “นายก็โอเคนะ” คือเราไม่ได้เกลียดเขาแล้ว. เราสามารถฝึกโดยทุกคืนออกไปข้างนอก มองดูดาวบนท้องฟ้า แล้วบอกความเป็นจริงในปัจจุบันว่า “โอเค”2 ครั้ง. ปัญหาที่เรายอมรับไม่ได้จะคอยเถียง “ไม่” และดึงเราไว้ไม่ให้ยอมรับ. กล้ามเนื้อจะเกร็งขึ้นมา รู้สึกแย่ในใจ. ก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่องปกติ ต้องใช้เวลา. ไม่ต้องสมบูรณ์แบบ. เป็นแบบนั้นเราก็แค่เริ่มต้นผ่อนคลายตั้งแต่ต้นใหม่.
รู้จักความรู้สึกยอมรับ
การยอมรับเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยจนบางทีนึกไม่ออก. มันจะง่ายขึ้นถ้าเรารู้จักความรู้สึกยอมรับแต่แรก จะได้รู้เวลาที่พบมัน. เหมือนเราจะไปสถานที่ใหม่ หรือนัดเจอใครใหม่ จะหาเจอง่ายขึ้นถ้าเราเคยเห็นภาพเป้าหมายก่อน. เราทุกคนต้องเคยผ่านความรู้สึกยอมรับมานับครั้งไม่ถ้วน เพราะถ้าเราไม่มีความรู้สึกนี้ก็จะวิกลจริตไปแล้ว. ตัวอย่างเช่น:-
- ตอนเล็กๆเวลาปวดฟันเป็นเรื่องใหญ่มาก รับไม่ได้เหมือนโลกแตก ตีโพยตีพาย. พอโตขึ้น ทุกครั้งที่ปวดเราจะมีทางเลือก 2 ทาง คือยอมรับกับทรมาน. เรารู้ว่าถ้าเรายอมรับ เราจะปวดโดยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ พอทนได้ ทุกข์โดยไม่ทรมาน. แต่ถ้าปฏิเสธเราจะทรมานมาก โวยวาย เหมือนสมัยเล็กๆ. เมื่อรู้ว่ามีทางเลือก ผู้ใหญ่จึงมักจะเลือกยอมรับเพราะสบายกว่า เพราะรู้ว่าอีกทางทรมานกว่า. เราจึงไปหาหมอฟันโดยไม่ต้องกระทืบเท้าน้ำตานองหน้า. นึกถึงความรู้สึกตอนที่ปวด แต่ยอมรับมันได้ ไม่เกลียดขับไล่ไสส่งมัน ปวดแต่โอเคที่ต้องรอถึงวันนัดหมอ. นี่คือความรู้สึกยอมรับ เปิดกว้าง โอเคทุกอย่างกับปัจจุบัน. เราควรจำความรู้สึกนี้ได้ดี สามารถดึงมันกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้.
- เราเคยสูญเสียสิ่งที่รัก เสร็จแล้วเราจะรับไม่ได้อยู่พักนึง ฟูมฟายจนทำอะไรไม่ได้. แต่ถึงจุดนึงเหมือนอยู่ดีๆ เราก็หาย ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตต่อ. จุดนั้นเรามีการตกลงใจจากข้างในว่า “โอเคฉันยอมรับแล้วว่าเสียสิ่งนั้นไป.” เรายังคงไม่ชอบ แต่เราโอเคกับมัน. นั่นคือความรู้สึกยอมรับ. ลองนึกกลับไปหลายๆเหตุการณ์ทำนองนี้ ที่ตอนนั้นเราคิดว่าไม่รู้จะอยู่ต่อไปยังไง แล้วสังเกตว่าความคิดนั้นมีกี่ครั้งที่เป็นจริง? ไม่มีเลย.
หันใจ
มาถึงทักษะที่สำคัญที่สุด เพราะการยอมรับจากข้างในไม่ใช่อะไรที่เราทำครั้งเดียวจบ แต่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก. ให้นึกภาพเรากำลังเดินไปตามถนนแล้วก็เจอทางแยกซ้ายขวา เดินไปก็เจอแยกแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก. ทางซ้ายคือ (3) ยอมรับความเป็นจริง สบายกว่า. ทางขวาคือ (4) ปฏิเสธความเป็นจริง ทรมานต่อไป. การหันใจคือการที่เราเปลี่ยนใจตัวเองไปทางยอมรับหนึ่งครั้ง ซึ่งไม่ง่ายเลย. เราต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก. แต่ทำไปแล้วเราจะค่อยๆติดใจ เพราะเมื่อยอมรับมากขึ้น เราจะทรมานน้อยลง. ความเครียดสะสมจะหายไป. เราจึงชอบทำมันมากขึ้นๆ. ขั้นตอนในการหันใจคือ
- สังเกตตัวเองว่ากำลังไม่ยอมรับหรือเปล่า. เช่นกำลังโกรธ ขุ่นมัว รำคาญไหม? เอาแต่ถามว่า “ทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมเป็นอย่างนี้”? ไม่ยอมรับว่ามีความรู้สึกนั้นๆต่อสิ่งนั้น? หลีกหนี หลบซ่อนอยู่หลังที่กำบัง? เมื่อเราตรงไปตรงมาเปิดเผยความรู้สึกกับตัวเองไม่ได้ เรากำลังปฏิเสธความเป็นจริง.
- หันใจ คือตัดสินใจเลือกที่จะยอมรับ. มันเหมือนกับเราได้เตรียมหนังสือสัญญาว่าจะยอมรับความเป็นจริง. ถึงขั้นนี้เราคิดถี่ถ้วนดีแล้วก็ตัดสินใจเซ็นสัญญา ว่าเราตั้งใจจะไปทางนี้. แต่ไม่จำเป็นต้องให้ได้ 100% แค่เรามีความตั้งใจไป. นี่คือการหันใจไปทางยอมรับ.
- ทำซ้ำอีก. เราจะพบว่าบางที สำหรับปัญหาหนัก เราอาจต้องหันใจซ้ำแล้วซ้ำอีก หลายหนในหนึ่งนาทีหรือหนึ่งวัน. ก็ทำไปเรื่อยๆ. ถึงจุดหนึ่ง เราจะรู้สึกว่าเราเลือกได้ เราจะรู้สึกเริ่มชอบหันใจ เพราะสบายกว่า. พอสังเกตว่าตัวเองทรมาน เราจะหันใจทันที.
การหันใจ ไม่ใช่การยอมรับจากข้างใน แต่เป็นการเลี้ยวครั้งหนึ่ง ขณะเดินทางไปสู่จุดเป้าหมายอุดมคตินั้น. เรารู้จักการยอมรับจากข้างใน เพื่อรู้จักเป้าหมาย ไม่ใช่เพื่อทำให้ได้ในทันที ซึ่งเป็นไปไม่ได้. สิ่งที่เราทำคือหันใจทุกครั้งที่ไม่ยอมรับ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เราหายทรมานจากปัญหานั้นตลอดไป. แต่มันทำให้เราหายทรมาน ณ เวลานี้ คือปัจจุบัน. แปลว่าวัน (หรือนาที) หลังเราอาจปฏิเสธความเป็นจริง แล้วทรมานจากปัญหานั้นอีก แต่เราก็แค่หันใจใหม่เท่านั้น. ทำบ่อยๆแล้วเราจะทำได้ง่ายและเร็วขึ้นเรื่อยๆ. แต่เนื่องจากทักษะทุกอย่าง ถ้าไม่ใช้บ่อยๆก็จะฝีมือตก. ถ้าไม่ค่อยหันใจ เราก็อาจจะหันใจยากและช้าลง หรือไม่ทำเลยก็ได้. ถึงตรงนั้น เราก็แค่กลับมาหันใจใหม่เท่านั้น. มันจึงสำคัญที่ต้องทำบ่อยๆ ก็เหมือนทักษะอื่นๆ.
เต็มใจ หรือ เอาแต่ใจ
เรารู้จักการหันใจกันแล้ว คราวนี้มาดูรายละเอียดถนนสองสายนั้น. สายยอมรับเรียกว่าเต็มใจ (willingness). สายปฏิเสธเรียกว่าเอาแต่ใจ (willfulness). เต็มใจเริ่มจากการยอมรับว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เชื่อมโยงกัน. เราไม่ได้เป็นอิสระเอกเทศอย่างที่รู้สึก. เต็มใจคือการที่เรายอมให้โลกเป็นอย่างที่เป็น ไม่ว่ามันจะเป็นยังไง เราตกลงที่จะร่วมมืออย่างเต็มที่ ลงเล่นในสนามชีวิต. เราจะทำสิ่งที่จำเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ที่แท้จริงและยั่งยืนเท่าที่ทำได้.
เอาแต่ใจคือตรงข้ามกับเต็มใจ. เราลืมว่าเราเป็นส่วนนึงของโลก ลืมความเชื่อมโยงกับคนอื่นๆ. เราโห่ใส่ความเป็นจริงในปัจจุบันว่า “ไม่ เอา”. เราปฏิเสธสนามชีวิต ออกไปนั่งบูดบึ้งอยู่ขอบสนาม หรือพยายามป่วน. เราไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเราเองแล้ว. เราทำลายประโยชน์ของตัวเองแทน. ลองนึกภาพว่าชีวิตก็คือการเล่นไพ่. เริ่มต้นเจ้ามือสับไพ่แล้วแจกให้ทุกคนเท่ากัน คนนึงดูไพ่ปรากฏแต้มห่วยมากเลยโวย “ฉันไม่ชอบไพ่ฉัน เจ้ามือแจกใหม่.” เราบอก “ก็นั่นเป็นไพ่ที่เธอได้.” เขาบอก “ฉันไม่สน มันไม่ยุติธรรม ฉันไม่เล่นไพ่แบบนี้หรอก.” เถียงกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น. เราจะคิดยังไง? อยากเล่นกับเขาไหม? แล้วคิดว่าใครจะเล่นไพ่ชนะ? แน่นอน ต้องเป็นคนที่เต็มใจเล่นไพ่ที่ได้รับ. อาจเป็นคนที่บอก “ไพ่ไม่ได้เรื่องเลย แย่จัง” ก็ได้. แต่คนที่เอาแต่ใจจะไม่ได้อะไรเลย.
เต็มใจคือการโอเคกับสิ่งที่ชีวิตโยนใส่เรา ไม่ว่าจะได้อะไรมาดีไม่ดี ชอบไม่ชอบ เราจะใช้มันให้เกิดประโยชน์มากที่สุด. เอาแต่ใจคือเมื่อชีวิตโยนสิ่งไหนใส่เรา ถ้าเราชอบก็เอาด้วย ถ้าไม่ชอบก็ประท้วง ส่วนประโยชน์เป็นเรื่องรอง. เมื่อเห็นภาพถนนสองสายชัดขึ้นแล้ว เรามาทบทวนขั้นตอนการหันใจกันใหม่
ขั้นตอนเมื่อเอาแต่ใจ
- คอยสังเกตตัวเองว่ากำลังไม่ยอมรับ กำลังเอาแต่ใจหรือเปล่า? ถ้าใช่.
- ยอมรับจากข้างใน. เราต้องยอมรับที่เรากำลังเอาแต่ใจอยู่ตอนนี้ก่อน เพราะมันคือความเป็นจริงในปัจจุบัน. ยอมรับว่าเราไม่สมบูรณ์แบบ. ไม่ต้องเกลียดตัวเองที่เอาแต่ใจ เพราะมันคือการปฏิเสธซ้ำเข้าไปอีก.
- หันใจไปทางยอมรับและเต็มใจ.
- ผ่อนคลายทั้งกายและใจ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตั้งแต่หัวจรดเท้า. ถ้ามันช่วยได้ก็อาจจะดูลมหายใจ หรือยิ้มน้อยๆ หรือทำท่าผายมือออกทั้งสองข้าง หงายมือขึ้น เหมือนเปิดรับอะไรก็ตามเข้ามาสู่ตัวเรา.
และเราอาจจะต้องทำซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะปัญหาที่เจ็บปวด อันตราย หรือหายนะ. ปัญหาแบบนี้การเอาแต่ใจจะประกันว่าเราจะได้รับผลที่ร้ายที่สุด แต่การเต็มใจเป็นทางเดียวที่เราผ่านจะมันไปได้.
ฝึกตลอดเวลา
ไม่มีใครยอมรับจากข้างในได้ 100% (คงจะยกเว้นก็แต่พระอรหันต์.) การฝึกจะทำให้เรายอมรับได้ง่ายและเร็วขึ้นเรื่อยๆ. เราต้องฝึกยอมรับทุกวัน ตลอดเวลา. ในช่วงแรก เราจะยอมรับเรื่องที่เจ็บปวดมากไม่ได้ ดังนั้นจึงควรจะฝึกกับเรื่องเล็กๆก่อน แล้วขยายผลจากความสำเร็จนั้น. ทั้งวัน คอยสังเกตความเอาแต่ใจที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ. มันจะดูออกได้ไม่ยากเพราะมันมาพร้อมความทุกข์ ขุ่นมัว หงุดหงิด หดหู่ ฯลฯ เสมอ. เมื่อรู้ตัวว่าทุกข์ สังเกตดูว่ามาจากความเอาแต่ใจ ปฏิเสธความเป็นจริงในปัจจุบันหรือเปล่า? ถ้าใช่ก็หันใจไปทางเต็มใจ. ทำไปเรื่อยๆ สำเร็จก็ดี ไม่สำเร็จก็ดี. แล้วเราจะหันใจไปเต็มใจได้บ่อยและเร็วขึ้นเรื่อยๆ.
แต่กว่ามันจะเริ่มได้ผลอาจจะใช้เวลา จึงสำคัญว่าเราจะต้องไม่ล้มเลิก. ทำไปเรื่อยๆ พยายามมากๆ แต่ไม่ต้องหวังผล. ทักษะเหล่านี้ไม่ง่าย แต่เหนือวิสัย ก็เหมือนกีฬายากๆทุกชนิดก็ต่างมีคนเล่นได้มากมาย. ที่สำคัญ เมื่อเราทำได้แม้เพียงบางส่วน มันก็มีค่ามหาศาลแล้ว. ความเครียดจะหายไปจากชีวิตเราเยอะมาก เมื่อเราเริ่มทำได้ทีละนิด. มันน่าจะเป็นทักษะที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิตด้วยซ้ำไป ถ้าทุกคนต้องการให้ตัวเองมีแต่ความสุข มีความทุกข์น้อยที่สุด. มีคนมากมายทั่วโลกกำลังฝึกทักษะเหล่านี้เหมือนเราอยู่ตอนนี้. ในแง่ประสิทธภาพ DBT ก็เป็นวิธีจิตบำบัดที่ได้รับการทดลองกว้างขวาง มีงานวิจัยยืนยันว่าได้ผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์. ดังนั้นมันไม่ใช่ได้ผลกับบางคนที่มีความสามารถ. มันใช้ได้ผลกับทุกคน.
แต่มันจะง่ายขึ้นสำหรับคนที่มีสติความรู้สึกอยู่กับปัจจุบันได้มาก. คนที่ทำไม่ได้สาเหตุหลักก็คือกำลังสติไม่พอ เพราะปกติไม่เคยอยู่กับปัจจุบัน บางคนเกลียดปัจจุบันมาก ต้องหนีด้วยเพลง ทีวี แชต โทรศัพท์ ฯลฯ ถ้าปิดสิ่งเหล่านี้ซึ่งจะทำให้พบกับตัวเองและขณะปัจจุบัน หลายคนจะทนไม่ได้ด้วยซ้ำไป. ผลคือเวลาที่เครียด หงุดหงิด เสียใจ บางทีเราไม่รู้ว่าเกิดจากความคิดเรื่องอะไร เพราะตอนคิดไม่ได้รู้สึกตัว เลยคิดว่ารู้สึกแย่โดยไม่มีสาเหตุ จริงๆมีสาเหตุแต่เราไม่รู้. อย่างนี้เวลาเรากำลังปฏิเสธความจริง กำลังเอาแต่ใจ แต่เราไม่รู้สึกตัว แล้วเราจะหันใจไปทางยอมรับเต็มใจได้ไง? ก็ต้องทรมานรู้สึกแย่โดยไม่รู้สาเหตุ.
เนื่องจากสติความรู้สึกตัวก็เหมือนกล้ามเนื้อ ยิ่งฝึกยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรง การเข้าคอร์สเจริญสติจะช่วยให้เรามีกำลังสติมากขึ้นเพียงพอสำหรับการฝึกยอมรับเต็มใจ. และรู้วิธีที่จะฝึกสติด้วยตัวเองที่บ้านตลอดเวลา. ที่สำคัญคือเลือกคอร์สเจริญสติเท่านั้น ไม่ใช่คอร์สสมาธิหรือถือศีล. คอร์สที่ดีจะมีคนไม่มาก ไม่ถึงร้อย และทุกคนในคอร์สไม่พูดกันแม้เพียงคำเดียว. คอร์สระยะ 1-2 วัน เหมาะสำหรับชิมลางให้รู้วิธี แต่ต้องอย่างน้อย 7 วันจึงจะได้ผล เมื่อพยายามเต็มที่แล้วเราจะได้กำลังสติเพิ่มขึ้นชัดเจนติดตัวกลับบ้าน.
ปัญหาเลี่ยงไม่ได้ แต่ความทรมานไม่จำเป็น
ไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวินาทีหน้า อาจจะเป็นปัญหาใหญ่โตมโหฬารก็ได้ ที่บ้านอาจโทรมาว่าหมาเราเพิ่งตาย ผลตรวจร่างกายออกมาว่าเราเป็นโรคหัวใจ บริษัทที่เราทำงานอยู่เปิดเผยว่าขาดทุนต้องเลย์ออฟพนักงาน ฯลฯ. ถ้าเราไม่มีทักษะเหล่านี้จะเป็นไง? หรือปัญหาเล็กๆที่เข้ามาตลอดทั้งวัน แฟนทำไม่ถูกใจ, รถติด, พนักงานบริการไม่ดี, โดนแซงคิว ฯลฯ. ถ้าเราไม่มีทักษะเหล่านี้ เราก็จะสะสมความเครียดไปเรื่อยๆ จนไประเบิดกับปัญหาสุดท้ายใส่คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่.
ทักษะเหล่านี้ทำให้เราเกิดทัศนคติว่า “ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ฉันจะยอมรับได้ทุกอย่าง." มันทำให้รู้สึกปลอดภัย. และเมื่อเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เราจะไม่ตระหนก มีสติที่จะจัดการปัญหานั้นได้ดีที่สุด. เพราะเราเต็มใจ.