- ข่าวดราม่าที่ผู้ก่อเหตุเผยว่าเป็นโรคจิตเวช คนมักจะมองว่า “หงายการ์ดป่วย” โกหกว่าป่วยเพื่อเอาตัวรอด เพราะเข้าใจผิดว่าใครทำให้ศาลเชื่อว่าป่วยจิตเวช แล้วศาลจะให้พ้นผิดไปเลย
- เนื่องจากสังคมไทยยังเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยจิตเวชคือคนบ้า และเชื่อว่ากฎหมายบอกว่าคนบ้าทำอะไรก็ไม่ผิด กรณีแบบนี้คนจึงพากันโกรธแค้นเพราะนึกว่าเขาจะไม่ต้องรับโทษจริงๆ
- ความเชื่อคนบ้าทำอะไรไม่ผิด เกิดจากคนส่วนใหญ่เห็นข่าวแบบนี้เฉพาะตอนเกิดเหตุเป็นดราม่าว่าอ้างป่วยจิตเวชแล้วทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ตอนศาลพิพากษาลงโทษข่าวจะเงียบ ทุกคดีความจำของสังคมจึงสรุปตามดราม่าว่าศาลยกโทษเสมอ ทั้งที่จริงๆแล้วศาลลงโทษทุกที
- จริงๆกฎหมายอาญาไม่ได้ระบุให้เว้นโทษกับผู้ป่วยโรคใดโรคหนึ่ง มาตรา 65 บอกว่าเฉพาะกรณีที่ขณะกระทำความผิด จำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ (ที่เรียกกันว่าวิกลจริต) จึงจะไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นเมื่อผู้ก่อเหตุเผยว่าเป็นโรคจิตเวชใดๆก็ยังไม่มีผลอะไร นอกจากจะทำให้สังคมเกลียดเขามากขึ้นจากความเข้าใจผิดข้างต้น
- การโกหกให้ศาลไทยเชื่อว่าวิกลจริตขณะก่อเหตุ แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะต้องหลอกจิตแพทย์แล้ว ศาลไทยก็ไม่ได้ฟังคำวินิจฉัยจิตแพทย์อย่างเดียวแบบศาลฝรั่ง แต่ให้น้ำหนักอย่างมากกับการวินิจฉัยโรคของพยานในที่เกิดเหตุ ทำให้แม้จิตแพทย์วินิจฉัยว่าวิกลจริตขณะก่อเหตุ ก็ยังติดคุกกันอยู่เสมอ
ทบทวน 3 คดีดังในอดีต
• 2560 เสก โลโซ ผู้ป่วยไบโพลาร์ คดีต่อสู้พนักงาน
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อว่าวิกลจริตขณะก่อเหตุ ลงโทษตามกฎหมายจำคุก 5 วันการที่จำเลยอ้างว่าป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ขณะกระทำผิดนั้น ศาลเห็นว่าจากพฤติการณ์การสื่อสารกับเจ้าหน้าที่พบว่า จำเลยรู้ผิดชอบดี จึงไม่อาจอ้างภาวะป่วยดังกล่าวได้
• 2550 หมูแฮม ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์และลมชัก คดีขับรถชนคนตาย
ศาลฎีกาเชื่อว่าบกพร่องทางจิต แต่ขณะเกิดเหตุรู้ผิดชอบ ลงโทษจำคุก 2 ปี 1 เดือนโดยไม่รอลงอาญาจำเลยพยายามขับรถออกไปเมื่อมีผู้มาทุบกระจกรถ แสดงให้เห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยก็น่าจะรู้ผิดชอบ
• 2548 จิตรลดา ผู้ป่วยโรคจิตเภท คดีแทงเด็กนักเรียน 4 คน
จำเลยมีอาการป่วยเป็นจิตเภทเรื้อรังมาตั้งแต่อายุ 20 ปี ครั้งแรกเข้ารักษาโรงพยาบาลนิติจิตเวชปี 2536 แล้วหยุดรักษาไป จากนั้นเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในปี 2544 และหยุดรักษาไปอีกครั้ง โดยแพทย์ให้ความเห็นว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิตเภท ประเภทหวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน ต้องฉีดยาและกินยารักษาตัวไปตลอดชีวิต โดยจำเลยจะใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ รู้รับผิดชอบการกระทำของตัวเองได้บ้าง โดยช่วงก่อนเกิดเหตุจำเลยไม่ได้กินยา และหนีออกจากบ้านพร้อมขโมยบัญชีเงินสดมาด้วย เห็นว่าแม้ทางการแพทย์จะลงความเห็นดังกล่าว แต่พฤติกรรมของจำเลยที่แทงนักเรียนลูกครึ่งไทยอินเดีย และลูกครึ่งไทยจีน มีการเฝ้าดูนักเรียนผู้เสียหายที่ 1 มาก่อน มีการดักรอ ซื้อมีดหลายเล่มไว้ก่อเหตุแทง ทั้งยังมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า ทรงผมหลังก่อเหตุ ตลอดจนให้การกับพนักงานสอบสวนถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นตอนที่แพทย์ทำการรักษา เป็นการลำดับเหตุการณ์อย่างปกติ ที่จำเลยอ้างว่าขณะเกิดเหตุมีปัญหาการป่วยทางจิต ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จึงเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งไม่มีหลักฐานอื่นมาสนับสนุน
ป่วยโรคจิตเวชไม่ได้แปลว่าเป็นคนบ้า
สังคมไทยยังมีความเข้าใจผิดว่า ผู้ป่วยโรคจิตเวชต้องเป็นคนบ้า ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้เลยสักนิด ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ ตาลอยพูดไม่รู้เรื่อง ทั้งที่จริงๆคนบ้าระดับนั้นคือผู้ป่วยโรคจิตเวชที่ชื่อว่าโรคจิตเภท (สกิตโซฟรีเนีย) ขั้นรุนแรงเท่านั้น ผู้ป่วยที่เหลืออีกสามล้านกว่าคนไม่ได้เป็นขนาดนั้นตัวอย่างผู้ป่วยจิตเวชโรคไบโพลาร์ (ซึ่งเป็นคนละอย่างกับไบโพลาร์ในละครทีวีไทย) |
จริงๆโรคจิตเวชยังมีแบบอื่นอีกมากมาย เช่นโรคซึมเศร้า, โรคไบโพลาร์, โรคแพนิค, โรคย้ำคิดย้ำทำ ฯลฯ ซึ่งผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตปกติร่วมกับคนทั่วไปได้ โดยที่อาจไม่มีใครดูออกด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่ว่าอาการจะต้องกำเริบตลอดเวลา ยิ่งรักษาแล้วก็อาจไม่มีอาการเลย แต่เมื่ออาการกำเริบเขาก็จะมีปัญหาในรูปแบบต่างๆกัน เช่นหมดแรง, ไฮเปอร์, แพนิค ฯลฯ มีไม่กี่โรคเท่านั้นที่อาการกำเริบหนักๆแล้วจะเสียสติคุยไม่รู้เรื่อง
กฎหมายไม่ได้เว้นโทษให้ผู้ป่วยโรคจิตเวช
นอกจากเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยจิตเวชคือคนบ้า แล้วคนยังเข้าใจผิดกันว่า กฎหมายให้คนบ้าทำอะไรก็ไม่ผิด ดังนั้นมาดูกฎหมายข้อนี้กันกฎหมายอาญา มาตรา 65
[1] ผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นแต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
❶ เป็นโรคอะไรมาไม่เกี่ยว กฎหมายดูเฉพาะขณะกระทำความผิด
จะเห็นว่ากฎหมายพิจารณาเฉพาะ “ความรู้ผิดชอบ” และ “ความสามารถบังคับตัวเอง” ใน “ขณะกระทำความผิด” เท่านั้น แปลว่าการมีโรคจิตเวชไม่ได้เป็นสาเหตุเพียงพอที่จะไม่ต้องรับโทษ อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจแต่จำเลยต้องเกิดอาการของโรคอย่างรุนแรงในขณะนั้น จนนำไปสู่การกระทำความผิดโดย “ไม่เจตนา” จึงจะไม่ต้องรับโทษ เนื่องจากตามหลักกฎหมายอาญา คนทำต้องรู้ผิดชอบและสามารถบังคับตัวเองได้ จึงจะถือว่ามีเจตนาทำสิ่งนั้น ส่วนในวรรคสองบอกว่า ถ้าพอรู้ผิดชอบหรือพอบังคับตัวเองได้ ก็ถือว่ามีเจตนาจึงต้องรับโทษ แต่ศาลอาจจะลงโทษน้อยกว่าปกติ
อย่างไรก็ตามแม้กรณีวิกลจริตจริงๆผู้ต้องหาจะไม่ถูกลงโทษติดคุก แต่ศาลก็จะใช้มาตรา 48 บังคับคุมตัวในโรงพยาบาลจิตเวชอยู่ดี ไม่ได้ปล่อยออกมาเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างที่กังวลกัน แบบนี้ทำให้เขาจะได้เจอหมอรักษากินยาต่อเนื่องด้วย แต่ถ้าจับเขาขังคุกแล้วพอยาหมดก็จะไม่ได้กินยา ทำให้อาการหนักขึ้นไปอีก นั่นคืออีกเหตุผลที่กรณีจำเลยวิกลจริตจริงๆไม่ควรติดคุก เพราะเขาควรถูกคุมตัวในโรงพยาบาลจิตเวชมากกว่า
❷ คำว่า “โรคจิต” ในมาตรานี้เป็นคนละอย่างกับ “โรคจิตเวช”
คำว่า “โรคจิต” ในกฎหมาย [2][3] และในทางการแพทย์หมายถึงอาการไซโคซิส [4] คืออาการหลงผิดไปจากความเป็นจริง ที่เรียกในภาษาไทยว่าอาการ “วิกลจริต” ซึ่งเกิดขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง จากสาเหตุหลายอย่าง เช่น โรคจิตเวชบางโรค, สโตรก, อัลไซเมอร์, พาร์กินสัน, การบาดเจ็บของสมอง, เนื้องอกในสมอง, ซิฟิลิส ฯลฯ ในที่นี้เราจะสนใจเฉพาะกรณีที่เกิดจากโรคจิตเวชเท่านั้นก็เหมือนกับอาการไอ สามารถเกิดจากหลายโรค เช่นหวัด, ไข้หวัดใหญ่, วัณโรค ฯลฯ และการเป็นโรคเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้ไอตลอดเวลา เช่นเดียวกัน อาการโรคจิต (วิกลจริต) ก็เกิดได้จากหลายโรค และการเป็นโรคเหล่านั้นก็ไม่ได้จำเป็นว่าจะทำให้วิกลจริตตลอดเวลา
จะเห็นว่าเกณฑ์ของกฎหมายไม่ได้ระบุให้เว้นโทษให้ผู้ป่วยโรคไหน แต่เว้นโทษให้ใครก็ตามที่กระทำความผิดขณะกำลังวิกลจริตมากจนไม่รู้ผิดชอบหรือบังคับตัวเองไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุอะไร
เช่นถ้าศาลเชื่อว่า “สมชายเป็นโรคไบโพลาร์” แค่นี้ยังไม่มีผลอะไร แต่ถ้าศาลวินิจฉัยว่า “ขณะนั้นสมชายกำลังมีอาการโรคจิต จนไม่สามารถรู้ผิดชอบ” อย่างนี้ถึงจะมีผล ดังนั้นเมื่อเห็นในข่าวว่าใครอ้างเป็นโรคจิตเวชอะไร ก็ไม่ต้องห่วงว่าเขาอ้างแล้วจะพ้นผิดไปเลย [5][6] ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่ามีอาการโรคจิตขณะก่อเหตุก็ไม่รอดอยู่ดี และแม้มีอาการโรคจิตขณะก่อเหตุจริงๆ ศาลไทยก็ไม่เชื่อง่ายๆอยู่ดี
การอ้างวิกลจริตยากมากในศาลไทย
เพราะศาลไทยก็ไม่เหมือนศาลฝรั่งที่เห็นในข่าวหรือในหนัง แม้จิตแพทย์ลงความเห็นว่าขณะกระทำผิด จำเลยมีอาการกำเริบถึงขั้นวิกลจริต แต่หากศาลถามพยานในที่เกิดเหตุมองว่าจำเลยมีสติดี สามารถพูดคุยกับคนได้ ศาลก็จะวินิจฉัยว่าจำเลยมีความรู้ผิดชอบอยู่ [2]เพราะตามความเชื่อทางสังคมไทย ขณะวิกลจริตคนนั้นจะต้องทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ ต้องพูดคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง เป็นคนบ้าเนื้อตัวมอมแมมอย่างนั้นตลอดเวลา แต่ในทางการแพทย์ อาการโรคจิตเป็นแค่บางช่วงได้ (เหมือนไอ) และมันไม่ได้มีแค่ thought disorder ที่ทำให้พูดไม่รู้เรื่อง แต่ยังมีอย่างอื่นเช่นประสาทหลอน (hallucination) และหลงผิด (delusion) ด้วย
เช่นผู้ป่วยอาจกำลังมีอาการโรคจิตกำเริบจนประสาทหลอน ได้ยินเสียงสวรรค์สั่งให้ด่าหรือทำร้ายคนตรงหน้า (แบบจิตรลดา) หรือหลงผิดว่าโลกเต็มไปด้วยคนชั่วร้ายที่คอยตามทำร้ายตน จึงชอบแล้วที่จะด่าหรือทำร้ายคนนั้น อย่างนี้จิตแพทย์จะวินิจฉัยว่าเขากำลังวิกลจริต ไม่รู้ผิดชอบควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่คนทั่วไปจะมองว่าไม่ได้วิกลจริต เพราะดูมีสติรู้ตัวดี คุยรู้เรื่องและสามารถก่อเหตุได้ แม้ว่าด้วยเหตุผลที่พิลึกขนาดไหนก็ตาม
ใครสนใจคำพิพากษาของศาล
คนเกือบทั้งประเทศจะได้เห็นข่าวแบบนี้ เพราะสังคมไทยให้ความสนใจมากเวลาคนป่วยจิตเวชด่าหรือทำร้ายใคร เนื่องจากมักจะมีความประหลาดสุดขั้วแบบ "ทำไปได้ไง" แม้จะเริ่มจากคลิปเดียว แต่มันจะไวรัลจนเป็นข่าวระดับประเทศเสมอ พอได้ยินว่าผู้ต้องหาเป็นผู้ป่วยจิตเวชแล้ว คนทั่วไปก็จะยิ่งโกรธกันหนักมาก เพราะเข้าใจผิดว่าเขาจะสบายไม่ต้องรับโทษ กลายเป็นกระแสใหญ่โตคอขาดบาดตายในเวลานั้น เพราะปกติคนก็รู้สึกกันว่าสังคมไม่ค่อยมีความเป็นธรรมอยู่แล้วแต่คนส่วนใหญ่จะไม่ได้ติดตามคดีไปจนถึงคำพิพากษาของศาล จะได้ติดตามข่าวแค่ช่วงแรกๆที่ไวรัล หลังจากนั้นอีกหลายเดือนหรือหลายปี เมื่อมีคำพิพากษาลงโทษออกมาจะเหลือคนสนใจน้อยนิด ข่าวนี้จะไม่ไวรัล ไม่มีคนแชร์ หรือยิ่งไปกว่านั้น บางกรณีก็ไม่มีสื่อไหนติดตามข่าวต่อไปอีกเลย ทุกคดีคนจึงสรุปไปตามที่คาดเอาเองตอนแรก แล้วก็บันทึกความทรงจำไปแบบนั้น กลายเป็นข้อสรุปของสังคมไทยว่า ทุกคดีอ้างโรคจิตเวชแล้วจะพ้นผิดเสมอ
แต่จริงๆถ้าเช็คดูคดีที่คำพิพากษามีข่าวออกมา เกือบทุกคดีศาลจะวินิจฉัยว่าไม่ถึงขนาดวิกลจริต แล้วลงโทษไปตามกฎหมาย น้อยมากที่ศาลจะมองว่าจำเลยวิกลจริตจริงๆ ซึ่งมักจะเป็นกรณีที่เป็นคนบ้าตัวมอมแมมพูดไม่รู้เรื่องตลอดเวลา คือต้องเข้าเกณฑ์วิกลจริตตามความเชื่อของสังคมไทยด้วย
ผู้ป่วยจิตเวชไม่ได้ก่อเหตุบ่อย แต่ทุกครั้งจะเป็นข่าวเสมอ
ปัญหาจากผู้ป่วยจิตเวชนานๆจะเกิดขึ้นที แต่คนจะจำได้แทบทุกกรณี เพราะแต่ละวัน อุบัติเหตุหรืออาชญากรรมมันเยอะจนไม่เป็นข่าวอยู่แล้ว สื่อจะเลือกมาเฉพาะกรณีที่แปลกประหลาด ยิ่งถ้าผู้ก่อเหตุเป็นผู้ป่วยจิตเวชจะการันตีได้ว่าคนจะชอบอ่าน (โกรธ) แน่นอน มันเลยเป็นข่าวเสมอ ทำให้ดูเหมือนเกิดบ่อยมาก แต่จริงๆตรงข้าม
ปรากฏการณ์จิตวิทยานี้เรียกว่า availability bias เมื่อเราประเมินโอกาสของอะไรบางอย่างเกินความเป็นจริง เพราะเหตุการณ์ทำนองนั้นเพิ่งเกิดขึ้นหรือทำให้เรารู้สึกอย่างรุนแรง เช่นเวลาขึ้นเครื่องบินเรากลัวมากกว่าขึ้นรถ ทั้งที่โอกาสตายบนรถสูงกว่าเป็นพันเท่า
แต่ทุกครั้งที่เครื่องบินตกเราได้เห็นในข่าวเสมอ และมันก็น่ากลัวที่สุด แต่อุบัติเหตุรถเกิดบ่อยจนเป็นเรื่องธรรมดา เฉพาะเมืองไทยก็ทำให้คนตาย 50-60 คนต่อวัน นั่นทำให้สื่อต้องเลือกเฉพาะกรณีที่น่าสนใจจริงๆเท่านั้น พอรับรู้ข่าวผิดสัดส่วนอย่างนี้ตลอดเวลา สมองเราเลยประเมินว่าเครื่องบินอันตรายกว่ารถ กลายเป็นความรู้สึกลึกๆทั้งที่เรารู้ว่ามันไม่จริง
เช่นเดียวกัน คดีหมูแฮมชนคนตายเป็นดราม่าใหญ่โต ทำให้ทุกคนกลัวว่าตัวเองจะถูกคนป่วยจิตเวชขับรถชนมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งที่โอกาสมันน้อยมาก ลองดูสถิติอุบัติเหตุจราจร ตัวเลขปี 2558 มีจำนวน 67,997 ครั้ง (จากคนเมา 1,364 ครั้ง) แต่ลองนึกดูปีๆนึง มีอุบัติเหตุเกิดจากคนป่วยจิตเวชขับรถกี่ครั้ง? ลองไล่ดูข่าวตั้งแต่ปี 2550 คดีหมูแฮมจนถึงปี 2562 กรณีหนุ่มแว่น นับได้กี่กรณี? ตลอด 12 ปีนี้ใครนับได้เกิน 10 หรือเปล่า
ทุกคนมีโอกาสถูกคนไม่ป่วยขับชนมากกว่ามาก โดยเฉพาะคนที่ชอบขับเร็ว คึกคะนอง หรือเมาเหล้า เช่นเดียวกัน ทุกคนมีโอกาสถูกด่าหรือทำร้ายโดยคนไม่ป่วยมากกว่ามาก โดยเฉพาะคนนิสัยเห็นแก่ตัว ขี้โมโห หรือพวกอาชญากร แต่เมื่อไหร่ที่คนป่วยจิตเวชก่อเหตุ คนจะมีโอกาสได้เห็นในข่าวมากกว่ามาก เพราะทุกสื่อและโซเชียลรู้ว่ามันจะทำให้คนอ่านโมโหและไลค์แชร์กันอย่างหนัก
กำจัดตราบาป เลิกเกลียดกลัวผู้ป่วยจิตเวช
โรคจิตเวชส่วนใหญ่รักษาได้ แต่ปัญหาคือคนไทยส่วนใหญ่ป่วยแล้วจะไม่หาหมอ เพราะเมื่อใดที่เริ่มรักษาก็จะกลายเป็นคนป่วยจิตเวช แล้วก็จะกลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจและหวาดกลัว คนป่วยส่วนใหญ่จึงยอมทรมานต่อไป หรือแม้แต่ยอมฆ่าตัวตาย ดีกว่าจะโดนสังคมรังเกียจ นี่คือที่มาของตราบาปโรคจิตเวชเมื่อสังคมไทยเลิกมองว่าผู้ป่วยจิตเวชเป็นคนบ้าอันตราย หรือโกหกเพื่อเอาตัวรอด เมื่อนั้นคนป่วยก็จะกล้ายอมรับตัวเองและยอมหาหมอมากขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นประโยชน์มากที่สุดต่อทุกคนสังคม
อ้างอิง
- ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499
- “คำศัพท์ที่สำคัญในกฎหมายอาญาของไทยที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติทางจิตในกฎหมายอาญาของไทย ได้แก่ “วิกลจริต”หมายถึง การมีความสามารถในทางกฎหมายที่บกพร่องไม่สมบูรณ์ เนื่องจากความผิดปกติทางจิต “โรคจิต” หมายถึง อาการของโรคจิตในทางจิตเวชศาสตร์ “จิตบกพร่อง” หมายถึง ความผิดปกติทางจิตที่เกิดจากความผิดปกติทางสมองและระบบประสาท และ “จิตฟั่นเฟือน” หมายถึงความ ผิดปกติทางจิตอื่นๆนอกเหนือจากสองประเภทข้างต้น นิยามของความผิดปกติทางจิตในทางกฎหมายอาญา หมายถึง ความสามารถในการรู้ผิดชอบหรือความสามารถในการบังคับตนเองที่บกพร่องไม่สมบูรณ์เนื่องจากมี ความผิดปกติทางจิต การตีความว่าเป็นความผิดปกติทางจิตหรือไม่ในทางกฎหมายอาญา ใช้ความเชื่อทางสังคม พยานหลักฐาน ประกอบกับหลักเหตุผลในทางกฎหมาย การวิจัยนี้มีข้อเสนอว่าในกฎหมายอาญาควรใช้คำที่มี ความหมายถึงความผิดปกติทางจิตเพียงแบบเดียว ควรใช้นิยามของความผิดปกติทางจิตตามพระราชบัญญัติ สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 แต่ไม่ควรรวมไปถึงความผิดปกติทางจิตที่เกิดจากสารเสพติด” — ความผิดปกติทางจิตในกฎหมายอาญา
- นิติจิตเวช
- โรคจิตคืออะไร
- “หากพนักงานอัยการพิจารณาว่าบุคคลดังกล่าวอยู่ในข่ายไม่ต้องรับโทษ ก็อาจมีคำสั่งไม่ฟ้อง ดังเช่น กรณีที่จังหวัดราชบุรี กรณีแม่และป้าป่วยเป็นโรคจิตคิดว่าจนเองเป็นองค์อัมรินทร์และพระอาทิตย์ แม่ได้สั่งให้ป้าฆ่าบุตรสาวของตน และจากรายงานของการตรวจวินิจฉัยทางนิติเวช แพทย์ยืนยันว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนป่วยเป็นโรคจิตกระทำผิด เนื่องจากอาการทางจิตมาภาวะหลงผิดไม่รู้ผิดชอบขณะกระทำความผิด พนักงานอัยการจึงมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองตามมาตรา 65 ซึ่งเป็นการสั่งไม่ฟ้องที่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว และต่อมาแพทย์ได้ทำการรับบำบัดรักษาผู้ป่วยทั้งสองจนหายกลับไปใช้ชีวิตร่วมกับสังคมได้ตามปกติ หรือกรณีที่ฟ้องต่อศาล หากปรากฏจากหลักเกณฑ์ทางแพทย์ว่าบุคคลทั้งสองเข้าข่ายมาตรา 65 ศาลก็อาจพิพากษาว่ามีความผิดแต่ไม่รับโทษ หรือพิพากษาให้รับโทษน้อยเพียงใดก็ได้” — การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวกับผู้กระทำความผิดจิตไม่ปกติ
- คนบ้าทำผิด กม.รอดคุกทุกกรณี จริงหรือ?