Pa Noo's Recovery Strategy
โดยป้าหนู รัชนี แมนเมธี
ป้าหนูขอแบ่งกลยุทธ์เป็น 4 ช่วงเวลาดังนี้
- พ.ศ. 2545–2547 : ช่วงเปลี่ยนผ่าน
- พ.ศ. 2548–2558 : ช่วงปานสายใยแห่งรัก
- พ.ศ. 2559–2566 : ช่วงประจักษ์ตัวตน
- พ.ศ. 2567 - หมดลมหายใจ : ช่วงค้นพบตัวเอง
1. ช่วงเปลี่ยนผ่าน
พ.ศ. 2516 ป้าเริ่มสอนหนังสือ พอถึง พ.ศ. 2545 ป้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า กว่าจะได้เข้ารับการรักษา ปี พ.ศ. 2546 ปี 2546 ปลายๆหมอบอกป้าหายป่วย แต่ป้ายังรู้สึกชีวิตมืดมน 1 เม.ย. 2547 ป้าได้เกษียณก่อนกำหนด ( Early Retire ) เป็นวันแรก
2. ช่วงปานสายใยแห่งรัก
ป้าได้มีโอกาสเรียนรู้ และเป็นกรรมการสมาคมสายใยครอบครัว ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ป้ามีความสุขมาก เพราะได้ฟื้นพลังชีวิต ป้าได้เห็นคุณค่าในตนเองมาก
3. ช่วงประจักษ์ตัวตน
ป้าได้นำประสบการณ์ช่วงที่ 2 และประสบการณ์ที่มีมาตั้งแต่เดิมมาใช้ประโยชน์ในการทำงานเพื่อส่วนรวมได้มากมายมหาศาล
4. ช่วงค้นพบตนเอง
ป้าตกผลึกชีวิตตนเองเรียบร้อย เพราะได้ประจักษ์ตัวตนของตัวเอง รู้ว่าตนมีจุดแข็ง - จุดอ่อน, มีโอกาส - ถูกคุกคาม อะไรอย่างไร เห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเองว่าสามารถทำประโยชน์ให้มนุษยชาติได้อย่างไรมากที่สุดตามศักยภาพของป้า และทำอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ป้าจะทำได้ และควรทำงานอะไรที่เหมาะสมที่สุด
ช่วงที่ 1 : เปลี่ยนผ่าน : พ.ศ. 2545–2547
ป้าผ่านมรสุมชีวิตและหลุดรอดออกมาได้ แต่ชีวิตก็ยังไม่พร้อม (Perfect) เท่าไร ป้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า พ.ศ. 2545 ปลายปี 2546 หมอบอกหาย (หลังเข้ารับการรักษาเพียง 3 เดือน) แต่ป้าต้องกินยาต้านเศร้าจนถึงทุกวันนี้
ตอนที่หมอบอกป้าหายป่วย ป้าไม่ตื่นเต้นเท่าไร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ารู้สึกว่าชีวิตยังมืดมนคือยังรู้สึกอาย กลัวคนจะรู้ว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า (ซึ่งเป็นโรคจิตเวชชนิดหนึ่ง) ไม่กล้าบอกลูกว่าป่วยเพราะกลัวลูกจะอายคนอื่น หมอบอกให้กินยาต้านเศร้าต่อไปเพื่อไม่ให้ป่วยซ้ำ
การป่วยซ้ำเป็นอย่างไร และสำคัญอย่างไร
การฟื้นหายของผู้ป่วยซึมเศร้า คือกระบวนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ, ค่านิยม, ความรู้สึก, เป้าหมาย, ทักษะ, พฤติกรรม, บทบาท ส่งผลให้สามารถปรับตัวอยู่ได้อย่างมีความสุข แม้จะยังมีอาการซึมเศร้าหลงเหลืออยู่
และรวมถึงการให้ความหมายในชีวิต, วางแผนเป้าหมายชีวิตใหม่, เกิดการเติบโตจากผลกระทบการเจ็บป่วยทางจิตเวชที่ได้รับ ส่งผลให้รู้สึกตนเองมีคุณค่า คืนความสำคัญในตนเอง เกิดการเติบโตในตนเอง จนสามารถ
- ช่วยเหลือตนเองได้
- ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข
- ยืดระยะเวลาการกลับเป็นซ้ำ
ถ้าไม่สามารถทำได้ 4 ประการนี้ แสดงว่าเริ่มป่วยซ้ำ
- 50 % ของผู้ที่ฟื้นตัวจากภาวะซึมเศร้าครั้งแรก มักมีภาวะซึมเศร้าซ้ำอีก 1 ครั้งหรือมากกว่า
- 80 % ของผู้ป่วยซ้ำครั้งที่ 2 มักเกิดอีกเป็นครั้งที่ 3
สาเหตุที่ผู้ป่วยซึมเศร้าป่วยซ้ำ
- ขาดยา หรือกินยาไม่สม่ำเสมอ
สาเหตุที่ขาดยา เพราะคิดว่าหายแล้ว และเบื่อกินยา
สาเหตุที่กินยาไม่สม่ำเสมอ เพราะขี้เกียจ และอาการข้างเคียง - เผชิญสถานการณ์สูญเสีย เช่น ทรัพย์สิน, เกียรติยศชื่อเสียง
- เสพสุรา เพราะเพื่อนชักชวน ไม่สบายใจ
- ทะเลาะกับบุคคลในครอบครัว เบื่อหน่าย
- ดูแลรักษาตนเองหลังออกจากโรงพยาบาล แต่อาการไม่ดีขึ้น
- คนรอบข้างไม่เข้าใจการรักษาต่อเนื่อง
- ความเครียด
- แบกรับความรับผิดชอบ
- ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
- คาดหวังตนเองมากเกินไป
- ไม่ร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น
- ไตร่ตรองรวดเร็วเกิน
- ไม่ยอมรับว่าต้องใช้เวลาในการรักษา และการดูแลหลังหายป่วย
- ไม่ยอมรับความคิดแง่บวก
ถ้ามีการป่วยซ้ำ การรักษาจะยากมากกว่าเดิม
เช่นอาจใช้ยาต้านเศร้าเดิมไม่ได้ โอกาสหายยากกว่าในครั้งแรก โอกาสป่วยซ้ำในครั้งต่อไปจะเกิดง่าย และอาการหนักมากขึ้น
ป้าเลยยอมกินยาต้านเศร้าไว้ แม้จิตแพทย์จะบอกว่าป้าหายแล้ว แต่จิตแพทย์วิเคราะห์ว่าป้าเป็นโรคซึมเศร้าแบบรุนแรง (Major) โอกาสป่วยซ้ำจะสูง ถ้าเจอสิ่งเร้าเพียงเล็กน้อยก็อาจกระตุ้นทำให้ป่วยขึ้นใหม่ได้ ป้าไม่กล้าเสี่ยงที่จะป่วยอีก จึงกินยาต้านเศร้ามาถึงปัจจุบัน
วันที่ 1 เม.ย. 2547 เป็นวันแรกที่ป้าได้เกษียณ กิจกรรมของป้าหลังจากนั้น คือเป็นจิตอาสาสอนรำไทเก็กและรำไม้พลองที่สวนรมณีนาถ (ใกล้เสาชิงช้า) หลังสอนเราก็นั่งเสวนากันที่สนามหญ้ากลางสวน ป้าได้เจอกัลยาณมิตรมากมาย ลืมเรื่องป่วยไปบ้าง
ช่วงที่ 2 : ปานสายใยแห่งรัก : พ.ศ. 2548–2558
ป้าชอบฟังวิทยุ วันหนึ่งในปี 2548 มีรายการสุขภาพจิตซึ่งจัดโดยจิตแพทย์หญิงท่านหนึ่งของโรงพยาบาลศรีธัญญา ท่านประกาศว่าตอนนี้สมาคมสายใยครอบครัวเปิดรับสมัครผู้เข้าอบรม “หลักสูตรสายใยครอบครัว” ซึ่งมีเนื้อหาเรื่องการรับมือกับโรคจิตเวช (โรคซึมเศร้า เป็นโรคจิตเวชประเภทหนึ่ง)
ป้าเป็นรุ่นที่ 6 ในหลักสูตรป้าได้เรียนรู้มาก มีประโยชน์ต่อการหายป่วยโรคซึมเศร้าของป้ามาก - มากที่สุด เพราะ
- ป้ากระจ่างในแผนที่นำทาง (Road - Map) ของการดำเนินโรค ป้าได้รู้สาเหตุ อาการ การเยียวยา การป้องกัน การฟื้นคืนพลังชีวิต (Recovery) ทำให้ป้าคลายความมืดมนในการอยู่กับโรคซึมเศร้าได้มาก
- ป้าได้กัลยาณมิตรที่มีประสบการณ์ป่วยโรคจิตเวชมากมาย เปรียบเสมือนต่างเป็นเพื่อนร่วมทาง (Peer) ซึ่งกันและกัน ทำให้ป้าไม่โดดเดี่ยว
- ป้าเห็นคุณค่าในตนเอง (Self - Esteem) มาก เนื่องจากสมาคมทำดังนี้
- เชิญป้าเป็นวิทยากร (Facilitator) สอนหลักสูตรฯ ต่อไปจนถึงปี 2558
- เลือกตั้งป้าเป็นกรรมการสมาคมด้านพิทักษ์สิทธิผู้อยู่กับโรคจิตเวช
- แต่งตั้งป้าเป็นประธานโครงการสามประสาน (ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ดูแลผู้ป่วยจิตเวช นักวิชาชีพ) ไปให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโรคจิตเวช (Psychoeducator) แก่กลุ่มเป้าหมาย (นักเรียน, นักศึกษา, จิตอาสา, นักบวช, องค์กรหรือหน่วยงานที่เชิญมา ฯลฯ)
- ป้าได้เรียนรู้แนวคิดการฟื้นคืนพลังชีวิต (Recovery-Oriented Approach: ROA)
วัตถุประสงค์ของ ROA คือ
- ผู้ป่วยมีความสุข
- ผู้ป่วยมีที่ยืนในสังคม
หลักการของ ROA คือ
- ผู้ป่วยมีความหวัง
- ผู้ป่วยมีเป้าหมาย
- ผู้ป่วยมีกำลังใจ
- ผู้ป่วยมีความพร้อมจะเปลี่ยนแปลง
สรุป: ประมวลประสบการณ์ที่ป้าได้จากสมาคมสายใยครอบครัว คือป้ามีพลังและเข้มแข็งมั่นคงทางจิตใจมาก ป้ามีความสุขมากกว่าก่อนป่วยซึมเศร้าเสียอีก
ดังที่กล่าวไว้ว่าตอนที่ป้าเป็นกรรมการสมาคมสายใยครอบครัว ป้าดูแลรับผิดชอบเรื่องพิทักษ์สิทธิของผู้อยู่กับโรคจิตเวช ป้าได้รับเรื่องผู้ป่วยจิตเวชถูกละเมิดสิทธิหลายเรื่อง เรื่องที่ป้าติดใจมากคือผู้ป่วยจิตเวชที่กระทำความผิดทางอาญาเพราะอาการป่วยของเขา (เช่นหลงผิดว่าพ่อเป็นผู้ร้าย จึงยิงพ่อตาย) เมื่อเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ป้าคิดว่าอาจไม่มีใครเข้าใจการกระทำผิดและการป่วยของเขา
ความรู้สึกนึกคิดข้างต้นเป็นแรงบันดาลใจ ป้าอยากให้บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมด (ตำรวจ, อัยการ, ศาล, ราชทัณฑ์) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อผู้ป่วยจิตเวชกับการเป็นผู้ต้องหา, จำเลย, ผู้ต้องขัง ป้าเลยสมัครสอบเข้าเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาล ภายใต้มาตรการเบี่ยงเบนคดีออกจากกระบวนการยุติธรรม (Diversion) ของศาลอาญาธนบุรี, ศาลอาญากรุงเทพใต้, ศาลอาญาตลิ่งชัน
ช่วงที่ 3 : ประจักษ์ตัวตน : พ.ศ. 2559–2566
ป้านำความรู้และประสบการณ์ทั้งชีวิตมาใช้ในงานช่วงที่ 3 นี้ ดังนี้
ตามทฤษฎีความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ของ Maslow
- ความต้องการทางกายภาพ เช่น ปัจจัย 4
- ความต้องการด้านความมั่นคง เป็นความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
- ความต้องการด้านความรัก เป็นความต้องการทางสังคม เช่น เพื่อน, ครอบครัว
- ความต้องการด้านความเคารพตนเอง เป็นการยอมรับนับถือตนเอง เช่น การเห็นคุณค่าในตนเอง, ความมั่นใจ, ความสำเร็จ
- ความต้องการด้านการประจักษ์ตนเองและเผื่อแผ่สิ่งดีๆให้ผู้อื่น เป็นความเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง เป็นการเข้าถึงศักยภาพที่แท้จริงของตนเอง เช่น ความคิดสร้างสรรค์, ทักษะการแก้ไขปัญหา ฯลฯ
Maslow เชื่อว่ามนุษย์เมื่อได้รับการสนองในข้อแรกๆแล้ว ถึงจะต้องการข้อเถิบไป เช่นนี้เรื่อยๆไป ถ้ายังไม่ได้สิ่งสนองความต้องการที่ขั้นไหน คนนั้นก็จะติดอยู่ตรงขั้นนั้น ไม่ใส่ใจความต้องการขั้นเถิบไป
ป้ามั่นใจว่าประจักษ์ในความเป็นเรา ว่ามีจุดแข็ง - จุดอ่อน อะไร แล้วนำจุดแข็งของตนเองไปประยุกต์ทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ เมื่อป้าผ่านช่วงที่ 2 (ปานสายใยแห่งรัก พ.ศ.2548–2558) ป้ารู้สึกอิ่มตัว ตกผลึก ไม่หวั่นไหว มั่นคง และเสถียร จึงนำเอาประสบการณ์ช่วงที่ 2 เป็นฐานไปสู่ช่วงที่ 3 ดังนี้
อารมณ์
ป้าพยายามฝึกให้เกิดอารมณ์ด้านบวก เพราะเป็นตัวนำให้เกิดผลลัพธ์ที่สำคัญต่อการมีชีวิตที่มีความสุข
- เชื่อมั่นและมั่นใจ: ในตนเองว่าป้ามีศักยภาพมากพอที่จะให้ความรู้เรื่องโรคซึมเศร้า เพราะเคยป่วยมาเองและสามารถให้คำปรึกษาด้านจิตสังคม เนื่องจากจบปริญญาโทสาขาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ภูมิใจ: ในตนเอง จากจากประสบการณ์การทำงานจิตอาสาเรื่องรณรงค์ให้สังคมตระหนักในภัยของโรคซึมเศร้า สามารถรับมือกับโรค และจะต่อยอดไปอีก
- ปลอดภัย: ว่าป้าคงป่วยซ้ำโรคซึมเศร้ายากเพราะกินยาต้านเศร้าและมองโลกบวกเสมอ
- รัก: สรรพสิ่งและสรรพสัตว์ จึงไม่คิดเบียดเบียนอะไร/ใครทั้งสิ้น
- ชื่นชม: กับความสำเร็จ/ความพยายามของผู้อื่นเสมอ เพื่อสร้างเสริมให้เขามีกำลังใจและมีความหวัง
- ยอมรับและเคารพ: ความเป็นมนุษย์ของทุกคน ไม่ดูถูก/อคติ
- สดชื่น/อิ่มเอิบใจ/ปีติ/เพลิดเพลินใจ: ทุกครั้งที่มีโอกาสทำความดี
- ใกล้ชิด: กับเพื่อนมนุษย์ทุกคน เพราะมองว่าเขาเป็นกัลยาณมิตรเสมอ
- สงสาร/เห็นใจ/เข้าอกเข้าใจ: ผู้ประสบความทุกข์/อุปสรรค
- ดีใจ: ที่ตนเองมีศักยภาพจะช่วยเหลือผู้กำลังประสบความทุกข์
- ห่วงใย/ใส่ใจ/จดจ่อ: ผู้กำลังประสบความทุกข์ยาก
- อยากรู้อยากเห็น/กระตือรือร้น: เรียนรู้ข้อมูลทุกเรื่อง แล้วหาความสอดคล้องกับงานตนเอง
- ใจเย็น/อดทน/สงบ: กว่าเมื่อก่อนป่วยโรคซึมเศร้ามาก เพราะปล่อยวางได้ว่าไม่มีอะไรได้มาดังใจหวังเสมอ
- ปลาบปลื้ม/เบิกบานใจ: ที่ได้มีโอกาสทำให้คนที่ทุกข์ได้ผ่อนคลายลงบ้าง
- ไว้วางใจ: ได้รับมากจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันป้าก็ไว้วางใจผู้อื่นมาก เพราะเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน
- ไม่เห็นแก่ตัว: ป้าจะคิดถึงผู้อื่นเท่าๆกับคิดถึงตนเองเสมอ
- มีความสุข: มากเมื่อสามารถทำให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ หรือเขามีความสุขได้ เพราะสอดคล้องกับเป้าหมายชีวิตของป้า (คือต้องการให้ทุกคนพ้นทุกข์)
ความคิด
- การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self - Esteem): ว่าป้ามีความรู้ความสามารถที่จะเป็นผู้นำรณรงค์ให้สังคมตระหนัก “ภัยเงียบของโรคซึมเศร้าแต่รักษาหายได้ คนใกล้ชิดช่วยได้”
- คิดบวก, คิดเป็นเหตุเป็นผล, คิดเป็นระบบ, คิดเป็นกลาง (ปราศจากอคติ): ทำให้กิจกรรมรณรงค์ฯผิดพลาดน้อย
- วางแผนทุกงาน: ไม่ว่างานเล็กใหญ่ และจะวางแผนเพื่อบรรลุเป้าของป้า (ทำความดีเพื่อส่วนรวมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้)
- พรหมวิหาร 4
- เมตตา: ปรารถนาให้ทุกคนมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นใคร
- กรุณา: ช่วยเหลือให้ทุกคนพ้นทุกข์ ยินดีช่วยเสมอ
- มุทิตา: ยินดีเมื่อใครประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จเล็ก/ใหญ่
- อุเบกขา: ปล่อยวาง เมื่อช่วยเหลือเต็มกำลังแล้ว แต่ช่วยเขาไม่ได้ ป้าก็ไม่ทุกข์ คิดว่าเราทำเต็มที่แล้ว
พฤติกรรม
ป้าสะสมประสบการณ์เรื่องการรับมือกับโรคซึมเศร้า และนำไปทำประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยพฤติกรรม
- ภายใน: ที่สงบ , เสถียร , สุขุม
- ภายนอก: ที่มีลีลาประกอบเทคนิค/ทักษะ
วิธีดำเนินการ
ทุกชิ้นงาน ป้าจะทำดังนี้
- อย่างมีระบบ
- รับฟังความคิดเห็นของทีมงาน
- ไม่เลือกปฏิบัติ
- ถือความเท่าเทียม
- เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
- คล่องแคล่วในการหาข้อบกพร่อง
- แก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและยั่งยืน
เป้าหมาย
คือทำให้ผู้อื่นมีความสุขมากที่สุด เพื่อป้าจะได้ไปภพหน้าอย่าง “สว่าง”
วิชาการ
ป้าใฝ่รู้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นประโยชน์กับงานของป้า ป้าจึงมีความรู้ความเข้าใจประเด็นต่างๆ ซึ่งได้มาจากการค้นคว้าเองและกัลยาณมิตรส่งมาให้ ทำให้งานของป้ารอบคอบยิ่งขึ้น
ความก้าวหน้า
ป้ามองภาพงานชัดเจนแน่วแน่ ทีมงานก็มีความเข้าใจเช่นเดียวกัน และจับมือกันเดินหน้าไปอย่างสอดคล้อง
สังคม
ป้ากล้าและมั่นใจในการออกสู่สังคม คบหาสมาคมคนมากขึ้น แม้เดิมจะไม่ได้รู้จักเขาเลย แต่ป้าก็อยากทำความรู้จัก เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ใจของตนเอง ความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน และเพราะป้าต้องการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ทุกคนในสังคมประจักษ์ตนเอง (Self - Actualization)
เศรษฐกิจ
กิจกรรมของป้าที่ต้องใช้งบประมาณ แต่ป้าไม่ลำบากใจ เพราะไม่ได้รบกวนเงินบำนาญของป้า เนื่องจากกิจกรรมที่ทำบางเรื่องป้าได้ค่าตอบแทน/ค่าเดินทางบ้าง ป้าก็นำเงินส่วนนี้มาใช้ทำกิจกรรมได้และเผอิญป้าเป็นคนประหยัด (ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง) อยู่แล้ว จึงบริหารจัดการจนลงตัวได้
ความเจ็บป่วย
ป้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าปี 2545 ถึงปัจจุบันป้าไม่เคยป่วยซ้ำและจิตไม่ตก (เบื่อ/เศร้า) เพราะกินยาต้านเศร้าตลอดมาและเสริมด้วยความรู้สึกเป็น “ผู้ให้” คิดบวกเสมอ จึงทำให้ป้าสุขตลอดเวลา
อนาคต
ป้าวางแผนงานชัดเจน ป้าจึงมองเห็นชัดว่าจะก้าวไปที่ไหน, เมื่อไร, ทำอะไร, เพื่อวัตถุประสงค์อะไร, ปฏิบัติอย่างไร และป้ามั่นใจในในการก้าวแต่ละก้าวเสมอโดยใช้หลัก PDCA (วางแผน, ปฏิบัติ, ตรวจสอบ, ปฏิบัติต่อ)
ความสุข
ป้าเป็นคนประเภท “สุขนิยม” อะไรที่สร้างความทุกข์/ไม่สบายใจ ป้าจะมองบวกเสมอ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส จึงไม่อนุญาตให้วิกฤติใดมาทำร้ายจิตใจของป้าได้เลย แล้วปล่อยวาง ซึ่งบัดนี้ป้าปล่อยวางได้เร็วขึ้นและมากขึ้น
แม้บางครั้งป้าก็ยังมีหงุดหงิด ไม่พอใจ โกรธ ถ้าเกิดรู้สึกลบดังนี้ป้าจะรีบตามความรู้สึกเหล่านี้ (เช่น ถามว่า “ฉันกำลังรู้สึกอย่างไร” แล้วตอบ “ฉันกำลังรู้สึกหงุดหงิด” เป็นต้น) จะทำให้ความรู้สึกลบลดลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วเราจะสามารถใช้เหตุผล การตัดสินใจจะดีขึ้น
คนทั่วไปมีภาพของคนที่มีความสุขว่าเป็นคนลักษณะดังนี้
- มีอารมณ์ดี
- มีชีวิตที่ดี
- มีอิสระ และเป็นตัวของตัวเองที่จะทำในสิ่งอยากทำหรือชอบด้วยตัวเอง
- ได้รับการยอมรับทั้งเรื่องเรียน/งาน/งานอดิเรก
- มีความพึงพอใจในชีวิต
- ดำเนินชีวิตลงตัว
- มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นได้ดี
- มีกิจกรรมที่พอใจ
- คิดถึงการฆ่าตัวตายน้อย
- มองโลกในแง่ดี
- มีความหวัง
- มีเป้าหมายชีวิต
- มีกำลังใจ
- มีความพร้อมจะเปลี่ยนแปลง
- มีความหมายในชีวิต
- มีสติตื่นไหลในกิจกรรม
- มีเมตตา
ป้าประเมินว่าตนเองมีภาพของคนที่มีความสุขครบทุกข้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสุดท้าย
ช่วงที่ 4 : ค้นพบตนเอง : พ.ศ. 2567 - หมดลมหายใจ
ถึงช่วงนี้คาดว่าชีวิตของป้าตกผลึกเรียบร้อย เพราะประจักษ์ในตัวตน รู้ว่าตัวเองมีจุดแข็ง-จุดอ่อน, โอกาส - ถูกคุกคาม อะไรอย่างไร ป้าเห็นคุณค่าและภูมิใจในตัวเองว่าสามารถทำประโยชน์ให้มนุษย์ชาติได้อย่างไรให้ได้ใช้ศักยภาพของป้าได้เต็มที่ และมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่ป้าจะทำได้
ระยะเวลาของช่วงนี้สิ้นสุดเมื่อ “หมดลมหายใจ” บ่งบอกแล้วว่าคงเป็นตอนสุดท้าย และเป็นช่วงที่ป้าได้ค้นพบตนเองก่อนจากลา คล้ายเป็นช็อต (shot) สุดท้ายของการเดินทางไปหาหมุดหมายสุดท้ายของชีวิตป้า
ผลงานของป้าในช่วงที่แล้ว (ช่วงที่ 3) คือ
- ผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมในระบบศาลอาญาธนบุรี, ศาลอาญากรุงเทพใต้, ศาลอาญาตลิ่งชัน
- จัด Event กับเครือข่ายความสุขจากโรคซึมเศร้า
- Hot Line คลายทุกข์
พอถึง พ.ศ. 2566 (อีก 3 ปี ข้างหน้า) ป้าจะครบวาระการเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านจิตสังคมที่ศาลอาญาตลิ่งชัน ตอนนั้นป้าอายุ 73 ปี ป้าสมควรจะหยุดงานการให้คำปรึกษาทั้ง 3 ศาล เช่นเดียวกับการจัด Event ซึ่งต้องใช้พลังงานมากหลายด้าน ป้าก็สมควรจะหยุดเช่นกัน
ฉะนั้นช่วงที่ 4 นี้ งานที่เหมาะกับป้ามากที่สุดคือ Hot Line ซึ่งป้าไม่ต้องแต่งตัวและเดินทางไปสถานที่ทำงาน/จัดงาน ป้าแค่รับโทรศัพท์ของผู้รับคำปรึกษา (counselee) อยู่ที่บ้าน ใช้ความรู้ ประสบการณ์ และทักษะ/เทคนิคการให้คำปรึกษา ให้เขารับมือกับโรคอย่างมีความสุข/มีที่ยืนในสังคม ป้าก็ยังคงได้ทำความดีตามที่ต้องการ และมีความสุขทุกวินาที ถ้าเกิดอ่อนแรงถึงขนาดนอนติดเตียงก็ยังสามารถรับโทรศัพท์ Hot Line จากผู้ต้องการความช่วยเหลือได้ และขอตั้งปณิธานว่าจะทำ Hot Line จนลมหายใจสุดท้าย
การเป็นผู้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ช่วงท้ายชีวิต ป้าคิดว่าคงมีคุณภาพสูงสุด เพราะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่กล้าวิชามากที่สุดในชีวิต คำพูดในการให้คำปรึกษา จะต้องกลั่นกรองออกมาอย่างเหมาะสมที่สุดกับแต่ละผู้รับคำปรึกษา
การให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์
วัตถุประสงค์ของการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ 3 แบบ
- ป้องกันปัญหา (Prevention)
- แก้ไขปัญหา (Remedial)
- ส่งเสริมการพัฒนาตนเอง (Growth Engendering)
ความหมายของการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ (Counseling by Telephone)
เป็นกระบวนการที่ให้บริการปรึกษาแก่ผู้รับคำปรึกษา มีการติดต่อ 2 ทาง โดยไม่มีการเผชิญหน้า และใช้เสียงเป็นสื่อในการที่จะช่วยผู้รับคำปรึกษาได้สิ่งต่อไปนี้
- พูดคุยถึงปัญหา/ข้อข้องใจ
- ระบายความรู้สึก อารมณ์ เรื่องราวต่างๆ ออกมาเป็นคำพูดหรือเสียงที่แสดงความรู้สึก
โดยมีวัตถุประสงค์: ช่วยผู้รับคำปรึกษา ดังนี้
- ช่วยลดความกดดันทางอารมณ์
- ช่วยทำให้มองเห็น และเลือกตัดสินใจ เลือกทางเลือกในการจัดการกับปัญหา ได้อย่างสมเหตุสมผล
- ยอมรับและเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหาและความต้องการของตนเอง
- สามารถแก้ไขปัญหาได้ในที่สุด
ความทุกข์ในการขอปรึกษา 3 ระดับ
- ความทุกข์ในระดับของความคิด หมายความว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องระดับความคิด, การตัดสินใจมากกว่าความรู้สึก เขาไม่สามารถตัดสินใจเรื่องต่างๆ เช่น กินยาแล้วมีอาการข้างเคียง จะทำอย่างไรดี
- ความทุกข์ในระดับของความรู้สึก หมายความว่าปัญหาระดับความรู้สึก มากกว่าความคิด ผู้รับคำปรึกษามีความกดดันทางอารมณ์ลักษณะต่างๆ เช่น เศร้าตลอดเวลา
- ความทุกข์ในระดับของพฤติกรรม หมายความว่าปัญหาเป็นเรื่องของพฤติกรรม หรือการกระทำที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ผู้ให้คำปรึกษาจะเน้นการแก้ไขพฤติกรรมโดยตรง เช่น หยุดร้องไห้ไม่ได้
คุณสมบัติของผู้ให้คำปรึกษา
- มีทักษะการสื่อสาร
- มีทัศนคติที่ดีต่อผู้รับคำปรึกษา
- มีการประยุกต์ใช้เทคนิคการให้คำปรึกษาใช้กับแต่ละเรื่อง