โรคซึมเศร้าเป็นคนละอย่างกับอารมณ์เศร้า แต่ชื่อโรคภาษาไทยชวนให้เข้าใจว่า มันก็แค่ความรู้สึกซึมๆเศร้าๆอย่างที่ทุกคนรู้จัก แถมคำอธิบายเกลื่อนเน็ตก็กว้างซะจน ทุกคนอ่านก็คิดว่าตนเคยเป็นโรคนี้ และสามารถวินิจฉัยว่าคนอื่นว่าเป็นหรือไม่ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียน 10 ปีอย่างจิตแพทย์
แต่โรคซึมเศร้าก็เหมือนหลายโรคที่มีความซับซ้อนจนต้องมีแพทย์เฉพาะทาง มันมีรายละเอียดมากและไม่เหมือนกับที่คนเข้าใจเลย แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เราจึงรู้สึกว่าเรารู้จักมันดีอยู่แล้วด้วยคอมมอนเซนส์ล้วนๆ ต่อไปนี้คือความเข้าใจที่ผิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบ้านเรา
แต่โรคซึมเศร้าก็เหมือนหลายโรคที่มีความซับซ้อนจนต้องมีแพทย์เฉพาะทาง มันมีรายละเอียดมากและไม่เหมือนกับที่คนเข้าใจเลย แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เราจึงรู้สึกว่าเรารู้จักมันดีอยู่แล้วด้วยคอมมอนเซนส์ล้วนๆ ต่อไปนี้คือความเข้าใจที่ผิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบ้านเรา
- (1) โรคซึมเศร้าไม่มีจริง
- (2) ที่เรียกโรคซึมเศร้าก็คือความเศร้า
- (3) ฉันก็เคยเป็น แต่ฉันไม่ยอมแพ้
- (4) มันอยู่ที่ใจแค่นั้น สู้ๆ ลุกขึ้นมาก็หายแล้ว
- (5) หมอกุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้บริษัทยารวย
1
ความเชื่อ: โรคซึมเศร้าไม่มีจริง โรคจิตเวชจะต้องเสียสติเป็นคนบ้า
ความจริง: องค์การอนามัยโลกบอกว่า 300 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า (MDD)
นั่นมากกว่า 4% ของประชากรโลก ส่วนในไทย ปี 2551 กรมสุขภาพจิตประมาณว่ามีคนไทย 1.5 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า นั่นคือราว 3% ของประชากรไทย
ถ้าไม่เชื่อว่าโรคซึมเศร้ามีจริง ก็เท่ากับปฏิเสธคนป่วย 300 ล้านคนทั่วโลก และคนไทย 1.5 ล้านคน ว่าพวกเค้าไม่ได้ป่วยเป็นอะไร รวมทั้งปฏิเสธรัฐบาล องค์การอนามัยโลก รวมทั้งหมอและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกที่เห็นตรงกันว่าโรคซึมเศร้าเป็นโรคชนิดนึง ไม่ใช่แค่คนอ่อนแอหรือขี้เกียจ
ความเชื่อ: ที่เรียกโรคซึมเศร้าก็คือความเศร้า
โชคร้ายชื่อภาษาไทย “โรคซึมเศร้า” (major depressive disorder – MDD) ทำให้เราตีความเอาเองว่ามันก็คือ ความเศร้า (sadness) ไม่งั้นเค้าคงไม่ตั้งชื่อว่าโรคซึมเศร้าใช่ไหม พอเราตีความแบบนี้ เราก็เลยงงเองว่าความเศร้ามันจะเป็นโรคได้ไง ในเมื่อทุกคนก็จะต้องเคยเศร้า ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะทำไมคนคิดว่าโรคซึมเศร้าไม่มีจริง
เพราะมันไม่ได้สอนในโรงเรียน คนส่วนใหญ่จะเชื่อสิ่งที่เรียนในโรงเรียน แม้บางครั้งมีความรู้ใหม่จากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ ก็เปลี่ยนความเชื่อที่โปรแกรมมาตอนเด็กๆได้ยาก และเนื่องจากหลักสูตรเก่าไม่ได้สอนเรื่องโรคจิตเวชเลย ประกอบกับเป็นโรคที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า (ต้องเอ็กซเรย์สมองจึงจะเห็น) คนจึงไม่เชื่อว่ามันมีจริง
โชคดีที่หลักสูตรใหม่เพิ่งเพิ่มเรื่องนี้เข้าไปในชั้น ม.2 แปลว่าอีกสัก 20 ปี ปัญหานี้คงจะเริ่มดีขึ้น ส่วนผู้ใหญ่ที่โตมากับหลักสูตรเก่า คงต้องเปิดใจและเรียนรู้กันด้วยตัวเอง
2
ความเชื่อ: ที่เรียกโรคซึมเศร้าก็คือความเศร้า
ความจริง: ความเศร้าเป็นอารมณ์ โรคซึมเศร้าเป็นโรคจิตเวช
ความเศร้าไม่ใช่โรค
คราวนี้พอผู้ป่วยที่เราเข้าใจว่าแค่เศร้า ดันไม่ยอมหายสักที เราก็ยิ่งงงเป็นไก่ตาแตก เพราะปกติความเศร้าจะหายได้เองเสมอ แต่ทำไมเค้าไม่หาย เป็นเดือนแล้วก็ยังลุกไม่ไหว จะเป็นไปได้ยังไง! ใครๆเศร้าก็หายกันทั้งนั้น ซึ่งก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องอีกแหละ เพราะความเศร้าจะหายไปเองเสมอ
เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเศร้า (ไม่ได้ป่วย) ต่อเนื่องทุกวันนานหลายสัปดาห์/เดือนไม่ยอมหาย แต่ทำไมเค้าไม่หาย? คำตอบง่ายนิดเดียวแสดงว่าเค้าไม่ได้แค่เศร้าไง
เค้าเป็นโรคลึกลับที่เราบางคนไม่เชื่อว่ามีอยู่ในโลก โรคชื่อ MDD ที่ทำให้เค้าไร้พลังชีวิตทุกวัน นานหลายสัปดาห์/เดือน ยิ่งไปกว่านั้น มันยังตรงข้ามกับที่คนเข้าใจเค้าไม่จำเป็นต้องเศร้าด้วยซ้ำไป
ช่วงที่เค้ามีอาการ (จะเรียกว่าอาการดีเพรส “clinical depression” แทนที่จะเรียกว่าอาการซึมเศร้า จะได้ไม่งง) เค้าจะหมดแรง ไม่อยากได้ ไม่อยากทำอะไรเลย บางคนไม่มีความรู้สึกอะไรเลย มึนชา ว่างเปล่า บางคนเฉยเมย บางคนหงุดหงิด บางคนท้อแท้เหมือนไม่มีอนาคต บางคนอาจจะเศร้า แต่ก็ไม่ได้เศร้าตลอดเวลายิ่งตอนเจอเรา เค้ามักจะฝืนยิ้ม
เจอเรา เค้ามักจะฝีนตัวเองเพื่อคุยกับเรา ทั้งที่อยากอยู่คนเดียวใจจะขาด แต่ต้องฝืนเพื่อซ่อนไม่ให้เรารู้ว่าเค้าผิดปกติ เพราะถ้าใครรู้ว่าเค้าป่วย เค้าจะถูกมองว่า (1) คิดไปเอง หรือไม่ก็ (2) บ้า ซึ่งแย่ทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่ยิ่งฝืนทำตัวปกติ พอบอกว่าป่วย คนยิ่งไม่เชื่อ
เพราะคนเชื่อกันว่า ผู้ป่วยจิตเวชจะต้องไม่รู้ว่าตัวเองป่วย คนที่บอกว่าตัวเองป่วยแสดงว่าไม่ได้ป่วย ซึ่งจะเป็นจริงเฉพาะผู้ป่วยโรคจิตเภท (สกิตโซฟรีเนีย) ระดับรุนแรงเท่านั้น ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ปกติ อยากหาย แต่ใจอาจไม่ค่อยอยากยอมรับว่าตัวเองป่วย เพราะโรคนี้มีตราบาปรุนแรงมาก จนหมอวินิจฉัยแล้วก็ไม่ค่อยอยากบอกใครนอกจากจะจำเป็นอีกความเชื่อคือ โรคซึมเศร้าก็ต้องเศร้าตลอดเวลา ซึ่งตีความมาจากชื่อโรคซึมเศร้าอีกนั่นแหละ เราจึงน่าจะหันมาใช้ชื่อ MDD (เอ็มดีดี) แทน ทำนองเดียวกับชื่อโรคเอสแอลอี เพราะคนจะได้ไม่ตีความจากชื่อโรค แล้วคิดเอาเองอย่างมั่นใจว่ามันคืออะไร ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าจะฝืนคุยยิ้มหัวเราะก็ได้ แต่เค้าไม่สนุกเลย และพยายามเลี่ยงโอกาสแบบนั้นสุดชีวิต เราจึงชวนเค้าทำกิจกรรมอะไรยากมาก
3
ความเชื่อ: ฉันก็เคยเป็น แต่ฉันไม่ยอมแพ้
ความจริง: ตลอดชีวิตคนปกติจะไม่เคยเจอมันเลย
ความเชื่อนี้เกิดจากเวลาอ่านข้อมูล MDD ในเน็ต ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเองก็เคยเป็น เพราะคำอธิบายต้องใช้ศัพท์ง่ายๆ มันจึงพูดกว้างๆ จนถ้าเอาตามนั้น ทุกคนในโลกล้วนเคยเป็นโรคซึมเศร้าสาเหตุที่ทำให้คนอ่านเข้าใจผิด คือข้อมูลขาดหรืออ่านตกไป 2 เกณฑ์สำคัญ (1) เป็นมากจนทำงานหรือกิจวัตรประจำวันแทบไม่ได้ (2) เป็นงั้นติดต่อกันทุกวันนาน 2 สัปดาห์ขึ้นไป ถ้าเราพิจารณา 2 เกณฑ์นี้ ก็จะพบว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ มีคนแค่ 3-4% เท่านั้นที่โชคร้ายพอจะได้เจอ
จิตแพทย์ไม่ได้ใช้เกณฑ์ง่ายๆอย่างที่เห็น แต่วินิจฉัยด้วยกระบวนการที่ซับซ้อน ผ่านการวิจัยปรับปรุงมาหลายสิบปี คนทั่วไปไม่สามารถวินิจฉัยโรคกันเองได้อยู่แล้ว ถ้าคนที่เรารักสงสัยว่าตัวเองป่วย ก็ต้องพาเค้าไปหาหมอ แต่แม้เค้าหาหมอแล้วได้รับคำวินิจฉัยเป็น MDD หลายคนจะยังคงวินิจฉัยเค้าด้วยคอมมอนเซนส์ต่อไปว่าไม่ใช่หรอก หมอเข้าใจผิด เพราะเชื่อว่าตัวเองรู้จักโรคนี้ดี แต่อันที่จริง
คนที่ไม่เคยเป็นจะนึกภาพโรคนี้ไม่ออกเลย
เอ เราเชื่อกันไหมว่ามีสภาวะจิตใจที่คนทั่วไปนึกภาพไม่ออกเลย? คนที่ไม่เคยเมาเหล้า นึกสภาวะจิตใจคนเมาออกไหม? แล้วคนเมากัญชาล่ะ? แล้วเฮโรอีน ยาอี ยาเคล่ะ? เรานึกสภาวะจิตใจคนที่ถูกข่มขืนออกไหม? หรือคนที่กำลังจะถูกประหาร? หรือคนที่เพิ่งพบว่าตัวเองถูกรางวัลที่หนึ่ง? อะไรแบบนี้ถ้าไม่เคยเจอกับตัวเอง ก็จะนึกภาพไม่ออกใช่ไหมอาการดีเพรสของ MDD ก็เช่นเดียวกัน มันเจ็บปวด แต่มันไม่ใช่ความเศร้าธรรมดาๆ แต่เค้าจะอธิบายยังไงให้เราเข้าใจได้เรื่องแบบนี้ได้ เหมือนนกพยายามเล่าเรื่องฟ้าให้ปลาฟัง เท่าที่เราจะพอทำความเข้าใจเค้าได้คือยอมรับว่า เราไม่มีทางนึกความรู้สึกนั้นออก และมันเป็น
ความทุกข์เจ็บปวดใจสุดๆเกือบตลอดเวลา
เหมือนคนเป็นแผลฉกรรจ์ แต่แผลนี้อยู่ที่ใจ หรือพูดให้ถูกคือแผลอยู่ที่สมอง (เอ็กซเรย์ก็จะเห็นว่าสมองเค้าผิดปกติ) และมันเจ็บยิ่งกว่าเอามีดกรีดตามตัวหลายเท่า นั่นทำให้เค้าบางคนใช้วิธีทำร้ายตัวเองเพื่อเบี่ยงเบนความเจ็บปวดไปที่กาย เพราะเจ็บกายมันน้อยกว่าเจ็บเพราะดีเพรสมาก นั่นทำให้เค้าบางคนฆ่าตัวตาย เพราะทนความเจ็บปวดที่เรามองไม่เห็นนั้นไม่ไหวแล้วก็เหมือนผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายบางคนฆ่าตัวตายด้วยเหตุผลเดียวกัน เค้าไม่ได้คิดสั้น เค้าไม่ได้อยากตาย แต่เค้าอยากหายเจ็บ ลองนึกภาพว่าเราเป็นโรคที่ปวดหัวมาก ปวดตลอดเวลามาหลายเดือน ถ้าเราเชื่อว่าโรคนี้รักษาไม่หาย เราจะต้องปวดงี้ตลอดไป เราก็อาจอยากฆ่าตัวตายเหมือนกันหรือเปล่า?
4
ความเชื่อ: มันอยู่ที่ใจแค่นั้น สู้ๆ ลุกขึ้นมาก็หายแล้ว
ความจริง: MDD มันอยู่ที่สมอง เค้าอยากออกแต่ออกมาไม่ได้
เอ็กซเรย์ PET scan สมองคนที่กำลังดีเพรส (ซ้าย) และปกติ (ขวา) |
แต่บางคนมีอุปสรรคกระตุ้นให้เค้าป่วย ก็เลยทำให้คนรอบตัวเข้าใจว่า สาเหตุทั้งหมดก็คือตัวอุปสรรคนั้น แล้วพออุปสรรคผ่านไปแล้ว เค้าก็ยังไม่หาย ทุกคนก็เลยงงกันไปตามๆกัน
เพราะอันที่จริงตอนนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว ปัญหาคือตอนนี้เค้าล้มป่วยเป็นโรค MDD ไปเสียแล้ว อุปสรรคนั้นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เค้าป่วย (ประกอบกับสาเหตุอื่นเช่นพันธุกรรม) ก็เหมือนการที่ตากฝน (ประกอบกับภูมิคุ้มกันต่ำ) ทำให้เค้าเป็นหวัด ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าทำไมไม่ได้ตากฝนแล้ว เค้ายังไอจามน้ำมูกไหลอยู่อีก เพราะทุกคนเชื่อว่าโรคหวัดมีจริง แต่
คนที่ไม่เชื่อว่าโรค MDD มีจริง ก็จะไม่มีทางเข้าใจที่เค้ายังไม่หายดีเพรสสักที
5
โต ซิลลี่ฟูลส์ — ❝โรคซึมเศร้า มันไม่ใช่โรค เพราะการแพทย์จะขายยา และจะมีเงินกับการแก้ปัญหาโดยการเอายาที่กดประสาท หรือคลายประสาท หรือทำอะไรก็แล้วแต่ให้สภาพจิตใจหรือความคิดเราผิดปกติจากเดิม ความจริงคือ เรามีปัญหาทางด้านความคิด❞
ความเชื่อ: หมอและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้บริษัทยารวย
ความจริง: เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนนับล้านและทุกรัฐบาลโกหกตรงกัน
ถ้าจะเชื่อทฤษฎีสมคบคิดนี้ ก็แปลว่าหมอทุกคนโกหก เพราะถ้าเราไปถามหมอคนไหนก็ได้เรื่องนี้ ทุกคนก็จะตอบตรงกันว่า MDD มีจริง รวมทั้งรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขของทุกประเทศด้วยหมอตามโรงพยาบาลมีรายได้จากค่าหมอ ไม่ได้มีรายได้ที่ขึ้นกับยาที่สั่ง ดังนั้นหมอจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยให้บริษัทยาขายดี แล้วถ้าเราเชื่อว่าหมอทั้งวงการสามารถโกหกเรื่องโรคซึมเศร้า เราจะรู้ได้ไงว่าโรคที่เหลือทั้งหมด หมอรักษาเราอย่างตรงไปตรงมา ไม่เอื้อให้บริษัทยาขายดีเหมือนกัน เราจะเชื่อได้ไงว่าโรคอื่นๆมีจริง และเราหายเพราะยาเหล่านั้นจริงๆ
ทฤษฎีสมคบคิดนั้นสนุกคิด เพราะมันช่วยให้เรารู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าฉลาดกว่าคนอื่นที่ไม่เชื่อ แต่การเชื่อทฤษฎีสมคบคิดอันนี้ หมายถึงเราต้องเลิกเชื่อใจหมอทุกคนไปด้วย เอางี้ ถ้าเชื่อใจหมอคนไหนก็ถามเค้าเรื่อง MDD แล้วหลังจากนั้น เราก็จะไปรักษากับเค้าไม่ได้อีก เพราะเค้าไม่โกหกก็ต้องโง่เกินไป
ความเชื่อ
มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเปลี่ยนความเชื่อใคร บทความนี้ก็ได้แค่ให้เหตุผลและมุมมองทางวิทยาศาสตร์สำหรับความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า (ซึ่งก็จริงสำหรับโรคไบโพลาร์ด้วย แต่ไบโพลาร์ยังมีเพิ่มอีก) ยังมีประเด็นหรือข้อถกเถียงอื่นอีกไหม? ถ้ามีก็เมนต์คุยกันข้างล่างเลย ถ้ามีข้อผิดพลาดก็แจ้งด้วย ถ้าอยากให้ใครๆได้อ่านก็แชร์กันเลย ถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้ก็ติดตามได้ที่เพจและกรุ๊ปของเราเราเชื่อว่ามีโรคทางสมองที่ทำให้ความจำเสื่อม (อัลไซเมอร์) เราเชื่อว่ามีโรคทางสมองที่มีปัญหาในการเข้าใจมุมมองคนอื่น (ออทิสติก) เราจะเชื่อได้ไหมว่ามีโรคทางสมองที่ทำให้คนป่วยหมดพลังชีวิต และเมื่อรักษาก็จะกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ
ให้โอกาสกับการแพทย์
เวลาคุณหรือคนที่คุณรักเป็นโรคนี้ มันอาจจะต้องใช้กำลังศรัทธาอย่างมาก (มากกว่าความเชื่อเรื่องผีหรือดวง) เพื่อที่จะเชื่อว่าโรค MDD มีจริง เพราะโรคนี้มีตราบาปจากสังคมหนักมาก ขนาดมีความเชื่อว่าคนอยากเป็นเพราะรู้สึกเท่ แต่ไม่เชื่อก็อย่าเพิ่งลบหลู่ อย่าเพิ่งฟันธงว่าไม่จริง ให้โอกาสกับวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ ลองพาเค้า (หรือตัวเอง) ไปคุยกับหมอก่อน ไม่เสียหายอะไรเลย (บัตรทองและประกันสังคมรักษาฟรี)แล้ววันนึงในอนาคต คุณอาจจะขอบคุณการตัดสินใจครั้งนี้ของตัวเอง เหมือน 2 ชีวิตจริงในคลิปนี้