ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฉันกำลังดีเพรสหรือเปล่า หรือฉันกำลังแมเนีย

ความรู้สึก (emotion)เวลาพบหมอ มันสำคัญมากที่เราจะต้องสามารถสื่อสารว่า ช่วงที่ผ่านมาเราอาการเป็นไง สัปดาห์ไหนปกติ สัปดาห์ไหนดีเพรสบ้าง และ (สำหรับไบโพลาร์) สัปดาห์ไหนแมเนียหรือเปล่า. เมื่อเข้าใจโรคเพียงคร่าวๆ คนมักจะคิดว่าดีเพรสคือเศร้านานๆ แมเนียคือรู้สึกดีหรือก้าวร้าวนานๆ ซึ่งถูกเพียงส่วนเดียว. เมื่อเข้าใจนิยามของอาการเหล่านี้ไม่ตรงกับหมอ เวลาเราเล่า หมอก็จะเข้าใจอาการไม่ตรงกันเรา.
ผลคือหมอก็จะปรับยาผิด เพราะเข้าใจอาการผิด เช่นเราดีเพรสอย่างเดียวมานานแล้ว แต่วีนแฟนบ่อยเพราะปัญหาชีวิตคู่. เราเล่าอาการทีไรหมอก็คิดว่าแมเนีย เลยให้แต่ยาคุมอารมณ์. ความเข้าใจผิดแบบนี้ทำให้การรักษาไม่คืบหน้า เพราะยาไม่ช่วยให้อาการหายหมดสักที จนบางคนท้อกับการรักษา. เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้ เราต้องเข้าใจอาการของโรคตรงกับนิยามที่หมอใช้. เมื่อสื่อสารกับหมอได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาก็จะก้าวหน้า เราก็จะมีอาการน้อยลง และสามารถใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้นเรื่อยๆ.
ก่อนอื่นเริ่มจากนิยามศัพท์พื้นฐานก่อน.

ความรู้สึก (emotion, feeling)

คือสถาวะจิตใจที่เรารู้สึกต่อตัวกระตุ้นหนึ่ง อาจจะเป็นตัวกระตุ้นภายนอกเช่นคำพูด หรือภายในเช่นความคิด ซึ่งจะทำให้ความรู้สึกเกิดขึ้นโดยทันทีทันใด (ไม่ต้องคิด) และจะมีอายุสั้นๆ เป็นวินาทีหรือนาที.  ความรู้สึกจะทำให้เกิดความเปลี่ยนทางกาย (เช่นหัวใจเต้นเร็ว) และใจ (เช่นตัดสินใจบางอย่าง). ดู 6 ความรู้สึกพื้นฐานในรูปทางขวา.
ตัวอย่างเช่น เวียร์เห็นงู รู้สึกกลัวเลยวิ่งหนี. นิวนึกถึงแฟนเก่าแล้วคิดถึงเลยอยากโทรแต่ลังเล.

อารมณ์ (mood)

คือความรู้สึกโดยรวมที่ยืนพื้นอยู่ตลอดช่วงเวลาหนึ่ง. ตามปกติอารมณ์จะไม่เกี่ยวกับตัวกระตุ้นอันใดอันนึงเลย. อารมณ์อาจจะเริ่มจากเหตุการณ์หนึ่ง หรืออาจจะเกิดขึ้นเอง. อารมณ์จะแบ่งเป็นดี (น่าเอา) กับเสีย (ไม่น่าเอา).
ตัวอย่างเช่น คริสถูกเพื่อนถามเรื่องอายุ จึงรู้สึกโกรธเพื่อนทันทีแต่ก็ได้แค่หัวเราะและแซวกลับไป แต่หลังจากนั้นคริสก็อารมณ์เสียและท้อแท้ไปจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น. เช้านั้นแม่บ้านมาทำงานสายไปสิบนาที คริสจึงรู้สึกโกรธแม่บ้านและต่อว่าอย่างรุนแรงไป ซึ่งทำให้คริสรู้สึกเกลียดตัวเอง หลังจากนั้นคริสจึงตกลงไปในอารมณ์ท้อแท้ยาวไปจนถึงเย็น. เมื่อแมวตัวโปรดเดินเข้ามาคลอเคลีย เธอรู้สึกรักมัน และมีความสุขขึ้นมาแว็บนึง แล้วอารมณ์ท้อแท้ก็กลับมาครอบงำเธอเช่นเดิม.
ความรู้สึกจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดทั้งวัน เพราะมันเป็นปฏิกิริยาต่อตัวกระตุ้นที่ประดังเข้ามาตลอดทั้งวัน ทำให้ความรู้สึกของเราเปลี่ยนไปตาม. ในทางตรงข้ามอารมณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่า ต้องอาศัยบางเหตุการณ์หรือความเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อม. หากอารมณ์มีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ จนทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันไม่ได้ ก็เรียกว่าเป็นโรคจิตเวชกลุ่ม mood disorder เช่นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์.

ช่วงอารมณ์ (mood episode)

เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์(ไม่ใช่ความรู้สึก)และพฤติกรรมของเรา เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากตัวเราปกติ. โรคซึมเศร้าจะแกว่งไปมาระหว่างดีเพรส กับปกติ. แต่โรคไบโพลาร์จะมีแมเนีย ไฮโปแมเนีย หรือมิกซ์ เพิ่มขึ้นอีกด้วย.

Depressive Episodeดีเพรส (depressive episode)

ดีเพรสเป็นช่วงเวลาที่(ใจ)เราหมดพลัง เป็นช่วงเวลาที่อารมณ์แย่.  คำว่าแย่คือเมื่อเทียบกับตัวเราตอนปกติ (วัดจากความรู้สึกตัวเอง หรือคนอื่นสังเกต). การจะเรียกว่าดีเพรสมีเกณฑ์ดังนี้:-

ก. มีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 5 ข้อ

โดยอย่างน้อยต้องมีอาการทางอารมณ์ข้อ 1 หรือข้อ 2 ด้วย
  1. *อารมณ์แย่ เช่น เศร้า ว่างเปล่า หมดหวัง ร้องไห้ง่าย เกือบทั้งวัน  (อาจมากตอนเช้า) 
  2. *อารมณ์เบื่อหน่าย ความสนใจหรือความสุขหายไปมาก ต่อกิจกรรมที่เคยชอบเกือบทั้งหมด เกือบทั้งวัน (เช่นเพื่อน สัตว์เลี้ยง เพลง ทีวี หนัง)
  3. น้ำหนักลงหรือขึ้นมาก (เกิน 5% โดยไม่ได้ตั้งใจ) หรือความอยากอาหารมากขึ้นหรือน้อยลง
  4. นอนไม่หลับ หรือนอนมาก
  5. *ทำอะไรช้าลง หรือกระสับกระส่าย จนคนอื่นสังเกตเห็นได้ (ไม่ใช่แค่ความรู้สึกตัวเอง)
  6. *อ่อนล้า หรือ(ใจ)หมดแรง
  7. *รู้สึกไร้ค่า หรือรู้สึกผิดโดยไม่จำเป็นหรือมากเกินไป (เช่นจากความเชื่อที่ผิดเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ใช่แค่ตำหนิตัวเองเพราะทำความผิด หรือรู้สึกผิดที่ป่วย) 
  8. ความสามารถในการคิดหรือสมาธิลดลง หรือลังเลไม่กล้าตัดสินใจ
  9. *คิดซ้ำๆเกี่ยวกับความตาย (ไม่ใช่แค่ความกลัวตาย) หรือการฆ่าตัวตาย หรือวางแผนฆ่าตัวตาย หรือลงมือทำ

ข. โดยอาการต้อง

  1. เป็นแบบนั้นเกือบทั้งวัน เกือบทุกวัน
  2. สำหรับคนที่หมอยังไม่ได้วินิจฉัย ต้องเป็นต่อเนื่องกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์
  3. หนักจนลำบากหรือบกพร่องในหน้าที่สำคัญของชีวิต เช่น งาน เรียน สังคม ความรัก ครอบครัว
  4. ไม่ได้เกิดจากภาวะทางกาย เช่น แอลกอฮอล์ ยาเสพติด ยา หรือโรคทางกาย (เช่น ภาวะขาดไทรอยด์)

Mania Episodeแมเนีย และไฮโปแมเนีย (manic/hypomanic episode)

แมเนียและไฮโปแมเนียเป็นช่วงเวลาที่เราแอคทีฟผิดปกติ. แมเนียคืออาการขั้นรุนแรง (จนอาจเกิดความเสียหาย) ส่วนไฮโปแมเนียคืออาการระดับเบา. บางทีเราอาจจะชอบตัวเองเวลาไฮโปแมเนีย แต่ไฮโปแมเนียสามารถเลยไปจนเป็นแมเนียก็ได้ หรือตกลงมาดีเพรสก็ได้. แมเนียและไฮโปแมเนียเป็นช่วงเวลาที่แยกออกมาชัดเจน (รู้ว่าเริ่มวันไหนหายไปวันไหน) ที่มีความผิดปกติอย่างต่อเนื่องของอารมณ์ โดยมีเกณฑ์ดังนี้:-

ก. มีอารมณ์ต่อไปอย่างนี้อย่างน้อย 1 ข้อ

อย่างผิดปกติและต่อเนื่อง
  1. *อารมณ์ดี (มีความสุข รู้สึกชีวิตดี๊ดี มั่นใจในตัวเอง เหมือนประสบความสำเร็จ)
    หรือครึกครื้น (เข้ากับคนง่าย เปิดเผย กล้าแสดงออก)
  2. หงุดหงิด โกรธง่าย

ข. และมีอาการต่อไปอย่างนี้อย่างน้อย 1 ข้อ

อย่างผิดปกติและต่อเนื่อง
  1. ไฮเปอร์ ทำอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น
  2. จิตใจแอคทีฟกระตือรือร้นมากขึ้น

ค. และมีอาการต่อไปนี้อย่างน้อย 3 ข้อ

โดยอาการนั้นๆแตกต่างไปจากตัวเราตามปกติอย่างเห็นได้ชัด (ถ้าข้อ ก. มีแต่อารมณ์ข้อ 3. หงุดหงิด เพียงอย่างเดียว ต้องมีอาการอย่างน้อย 4 ข้อ)
  1. *มั่นใจตัวเองเกินไป หรือถึงขั้นหลงตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่น
  2. *ความต้องการนอนลดน้อยลง เช่นนอนน้อยลง แต่ไม่ง่วงไม่เพลีย 
  3. *คุยเก่งมากกว่าปกติ หรือพูดมากหยุดไม่ได้เหมือนมีเรื่องเร่งด่วน
  4. *ไอเดียพลุ่งพล่าน คือเล่าเรื่องไอเดียดีๆที่มีอยู่เต็มไปหมดอย่างรัวๆ หรือความคิดแข่งกันในหัว (racing thought) คือมีความคิดมากมาย(หรือเพลง)แข่งกันขึ้นมาใช้พื้นที่ในหัวเรา ขณะความคิดอื่นก็ยังอยู่ในแบคกราวนด์. ทำให้เวลาพูดจะเปลี่ยนเรื่องไปเรื่อยๆรัวๆ จนคนฟังตามเรื่องไม่ทัน.
  5. วอกแวกเปลี่ยนความสนใจง่าย ถูกดึงความสนใจไปยังอะไรที่ไม่สำคัญหรือไม่เกี่ยวกับตัวเองอยู่เรื่อย
  6. *เพิ่มการทำกิจกรรมที่มีเป้าหมาย (คือประสบความสำเร็จได้เช่น งาน สังคม เรียน เซ็กส์) หรือ อยู่นิ่งไม่ได้
  7. *หมกหมุ่นกิจกรรมที่ให้ความสุขแต่มีผลร้ายแน่ๆ เช่น ช็อบกระหน่ำ เซ็กส์ไม่เลือกหน้า หรือลงทุนทำธุรกิจโง่ๆ

ง. โดยอาการต้อง

  1. สำหรับคนที่หมอยังไม่ได้วินิจฉัย ต้องเป็นต่อเนื่องกันอย่างน้อย 1 สัปดาห์สำหรับแมเนีย (ยกเว้นคนที่แอดมิต); และอย่างน้อย 4 วันสำหรับไฮโปแมเนีย
  2. สำหรับแมเนีย
    1. หนักจนบกพร่องในหน้าที่สำคัญของชีวิต เช่น งาน เรียน สังคม ความรัก ครอบครัว
    2. หรือหนักจนต้องแอดมิตจิตเวช เพื่อป้องกันอันตรายต่อตัวเองหรือคนอื่น
    3. หรือมีอาการไซโคซิส คือหลุดจากความเป็นจริง ซึ่งมี 2 แบบ คือ ประสาทหลอน (เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้สัมผัส ได้รส สิ่งที่ไม่มีจริง) และ หลงผิด (เช่นเชื่อว่าตัวเองรวยมาก บรรลุธรรม มีอำนาจมาก ไม่มีทางบาดเจ็บ)
  3. สำหรับไฮโปแมเนีย
    1. มีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนภายในตัวเรา ทั้งอารมณ์การพฤติกรรม ในลักษณะที่เหมือนไม่ใช่ตัวเรา และมากพอที่คนอื่นจะสังเกตเห็น
    2. แต่ไม่หนักขนาดข้อ ค.3 (สำหรับแมเนีย)
  4. ไม่ได้เกิดจากภาวะทางกาย เช่น แอลกอฮอล์ ยาเสพติด ยา หรือโรคทางกาย (เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน)
mixed feature

มิกซ์ (mixed feature)

บางครั้งเราอาจจะมีอาการทั้งขั้วดีเพรสและแมเนียในเวลาเดียว แต่มักจะหนักไปขั้วหนึ่งมากกว่าอีกขั้วหนึ่ง. คนที่ดีเพรสตามเกณฑ์ข้างบน (เป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์) อาจมีอาการของ(ไฮโป)แมเนียผสมด้วย หรือคนที่(ไฮโป)แมเนียตามเกณฑ์ข้างบน อาจมีอาการของดีเพรสผสมด้วย. ทั้งดีเพรส แมเนีย และไฮโปแมเนีย จึงสามารถมีคุณสมบัติเพิ่มคือผสม (mixed feature) ที่ระบุว่ามีอาการบางส่วนของอีกขั้วหนึ่งอยู่ด้วย.

มิกซ์แมเนีย/ไฮโปแมเนีย (manic/hypomanic episode with mixed feature)

เกณฑ์คือ นอกจากเป็นตามเกณฑ์ของ(ไฮโป)แมเนียแล้ว ยังมีอาการของดีเพรสในข้อ ก. (เฉพาะข้อที่มี * ดอกจัน) อย่างน้อย 3 ข้อ ในเวลาเดียวกับอาการของแมเนีย (ไม่ใช่สลับไปมา).

มิกซ์ดีเพรส (depressive episode with mixed feature)

เกณฑ์คือ นอกจากเป็นตามเกณฑ์ของดีเพรสแล้ว ยังมีอาการของแมเนียในข้อ ก. และ ค. (เฉพาะข้อที่มี * ดอกจัน) อย่างน้อย 3 ข้อ ในเวลาเดียวกับอาการของดีเพรส (ไม่ใช่สลับไปมา).

ความเชื่อที่ผิด

  1. ผู้ป่วยไบโพลาร์ มีแต่ดีเพรสกับแมเนียสลับไปมา
    ความจริง มีช่วงอารมณ์ปกติด้วย. คนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยใช้เวลาอยู่ในช่วงปกติมากที่สุด.
  2. อารมณ์เย็นชา ไร้ความรู้สึก คือช่วงปกติ ไม่ได้ดีเพรส
    เบื่อหน่ายไม่มีความสุข เป็นอาการข้อ ก2 ของดีเพรส. แค่หายรู้สึกแย่ไม่ได้แปลว่าหายดีเพรส ต้องเช็คตามเกณฑ์ของดีเพรสว่าไม่เข้าเกณฑ์จริงๆ.
  3. วีนคือแมเนีย
    ความจริง วีนคือโมโหแล้วคุมตัวเองไม่ได้ เกิดได้ทั้งตอนดีเพรสและแมเนีย. แต่ถ้าแมเนียแบบหงุดหงิดอาจจะเกิดบ่อยเท่านั้น.
  4. หงุดหงิดคือแมเนีย
    ความจริง ตอนดีเพรสก็หงุดหงิดได้. จะเรียกว่าแมเนียก็ต้องเป็นครบตามเกณฑ์ข้างบน. ดูแค่อารมณ์หงุดหงิดอย่างเดียวไม่ได้.
  5. แมเนียคือแรง ก้าวร้าว
    ความจริง กล้าแสดงออกเป็นอาการหนึ่งของแมเนีย แต่ไม่จำเป็นต้องมีเสมอไป. ส่วนก้าวร้าวรุนแรงไม่อยู่ในเกณฑ์เลย.
  6. วันนึงเดี๋ยวดีเพรสเดี๋ยวแมเนีย
    ความจริง ต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างความรู้สึกกับอารมณ์กับช่วงอารมณ์. ด้วยเกณฑ์ข้างบน เราจะรู้ได้ไม่ยากว่าเริ่มดีเพรสวันไหน หายวันไหน เริ่ม(ไฮโป)แมเนียวันไหน หายวันไหน. ดังนั้นเราจึงรู้ตลอดเวลาว่าฉันกำลังอยู่ช่วงอารมณ์ไหน. ส่วนการที่ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงตลอดวัน เป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน เพราะมีเรื่องดีร้ายเข้ามาหาเราตลอดเวลา. แต่ความรู้สึกกับอารมณ์เป็นคนละอย่าง. เราจะมีความรู้สึกโมโหหรือสนุกสนานตอนดีเพรสก็ได้ แต่โดยรวมน่าจะเกิดน้อยกว่าอารมณ์แย่ที่ยืนพื้น. เราจะมีความรู้สึกเสียใจหรือท้อแท้ตอนไฮโปแมเนียก็ได้ แต่โดยรวมน่าจะเกิดน้อยกว่าอารมณ์แอคทีฟ.

แหล่งข้อมูล

  1. Bipolar Disorder in Adults; National Institute of Mental Health (NIMH), U.S.
  2. Bipolar disorder; Mayo Clinic
  3. หัวข้อ ดีเพรส เรียบเรียงจาก DSM-5 major depressive episode
  4. หัวข้อ แมเนีย และไฮโปแมเนีย เรียบเรียงจาก DSM-5 manic episode, hypomanic episode
  5. หัวข้อ มิกซ์ เรียบเรียงจาก ncbi, psychcentral

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

รู้สึกแย่ดิ่งสุดๆ ทำไงถึงจะหาย

ถามกันบ่อยที่สุดคือกำลังดิ่งจะทำยังไงดี ปัญหาคืออธิบายตอนนั้นก็ไม่มีสติพอจะเข้าใจอยู่ดี ดังนั้นทุกคนควรเรียนรู้เทคนิคนี้ไว้ล่วงหน้า มันมาจากจิตบำบัดแบบ ACT ( defusion ) ซึ่งมีงานวิจัยจำนวนมากว่าได้ผล แล้วนำมาประยุกต์กับ วิธีเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ช่วงวิกฤติ วิธีทำก็ง่ายมาก จะยากตรงมันตรงข้ามกับคอมมอนเซนส์ เพราะเราเข้าใจธรรมชาติของใจเราผิดมาตลอด แต่ลองทำดูแล้วก็จะเข้าใจเอง เพราะทุกคนที่จัดการมันได้ ต่างก็ค้นพบเทคนิคนี้ได้เองจากการลองผิดลองถูก ความรู้สึกแย่เกิดจาก “ ความคิด”  เสมอ ความรู้สึกแย่ (เช่นโกรธ เสียใจ น้อยใจ กังวล​) เกิดจาก ความคิด ของเรา เสมอ ไม่เคยเกิดจากอย่างอื่น เช่น เขา พูดไม่ดีกับเราเมื่อเย็นวาน ปรากฏตอนนี้เราก็ยังรู้สึกแย่อยู่ ทั้งที่ไม่ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว แต่เราเองเป็นคนเล่นซ้ำคำพูดที่เราเกลียดนั้นในหัวเรามาตลอด เขา เป็นต้นเหตุของความคิดนี้ใช่ แต่ ตอนนี้ ที่กำลังรู้สึกแย่ เกิดจาก ความคิดนี้ ของเรา เอง ที่ผ่านมาตอนนั้นเรามักจะโฟกัสความผิดที่ เขา  ซึ่งยิ่งทำให้ความคิดเราวนเวียนหนักขึ้นเรื่อยๆ ความคิดยิ่งมาก ความรู้สึกเราก็ยิ่งแย่ ดิ่งลงไปเร

ลิเธียม ยาดีที่ต้องใช้ให้เป็น

สำหรับคนที่เป็นไบโพลาร์ก็จะได้ทาน ยาคุมอารมณ์ (mood stabilizer) เพื่อจะได้ไม่ต้องมีช่วงแมเนีย และลิเธียมก็คือยาคุมอารมณ์ที่นิยมมากที่สุดตัวหนึ่ง เพราะได้ผลดี, ผ่านมาวิจัยมานานมาก, ราคาถูก และมีส่วนช่วยป้องกันช่วงดีเพรส แต่ลิเธียมเป็นยาที่ใช้ยากนิดนึง เพราะหมอจะต้องค่อยๆปรับยาขึ้นจนกว่าเราจะมียาในเลือดระดับที่พอดี ถ้าน้อยไปมันก็จะไม่ทำงาน ถ้ามากไปก็จะเกิดอาการลิเธียมเป็นพิษ หลายคนที่หมอสั่งลิเธียมให้ พอได้ยินเรื่องลิเธียมเป็นพิษเลยวิตกกังวลหนัก จนความวิตกกังวลนี้กลายเป็นผลข้างเคียงซ้ำซ้อนเข้าไปอีก ดังนั้นคนที่ทานยาตัวนี้จึงต้องเรียนรู้เพิ่มเติมสักนิดนึงเกี่ยวกับมัน บทความข้างล่างนี้มาจากคอลัมน์พบหมอรามา อ่านง่ายและครบถ้วนดี แต่ก่อนอื่นผมจะเกริ่นถึงประเด็นที่ทำให้กังวลกันก่อน ผลเสียจากลิเธียมจะมีอยู่ 2 ลักษณะ ถ้าแยกจากกันได้แล้วจะใช้มันได้อย่างสบายใจ ผลข้างเคียง ​ คือผลเสียในโดสปกติ  อาการลิเธียมเป็นพิษ  คืออาการป่วยเพราะมีลิเธียมในเลือดสูงเกินไป อาจจะเพราะได้ยามากเกินไป (เช่นโอเวอร์โดส) หรือเพราะสภาพร่างกายผิดปกติไปมากทำให้ขาดน้ำหรือเกลือแร่ บางคนเข้าใจว่าตัวเองแพ้ลิเธียม

ท็อป 5 ความเข้าใจผิด โรคซึมเศร้าไม่ใช่อย่างที่คิด

โรคซึมเศร้าเป็นคนละอย่างกับอารมณ์เศร้า แต่ชื่อโรคภาษาไทยชวนให้เข้าใจว่า มันก็แค่ความรู้สึกซึมๆเศร้าๆอย่างที่ทุกคนรู้จัก แถมคำอธิบายเกลื่อนเน็ตก็กว้างซะจน ทุกคนอ่านก็คิดว่าตนเคยเป็นโรคนี้ และสามารถวินิจฉัยว่าคนอื่นว่าเป็นหรือไม่ โดยไม่ต้องเสียเวลาเรียน 10 ปีอย่างจิตแพทย์ แต่โรคซึมเศร้าก็เหมือนหลายโรคที่มีความซับซ้อนจนต้องมีแพทย์เฉพาะทาง มันมีรายละเอียดมากและไม่เหมือนกับที่คนเข้าใจเลย แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เราจึงรู้สึกว่าเรารู้จักมันดีอยู่แล้วด้วยคอมมอนเซนส์ล้วนๆ ต่อไปนี้คือความเข้าใจที่ผิดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบ้านเรา (1)  โรคซึมเศร้าไม่มีจริง (2)  ที่เรียกโรคซึมเศร้าก็คือความเศร้า (3)  ฉันก็เคยเป็น แต่ฉันไม่ยอมแพ้ (4)  มันอยู่ที่ใจแค่นั้น สู้ๆ ลุกขึ้นมาก็หายแล้ว (5)  หมอกุเรื่องขึ้นมาเพื่อให้บริษัทยารวย 1 ความเชื่อ: โรคซึมเศร้าไม่มีจริง  โรคจิตเวชจะต้องเสียสติเป็นคนบ้า ความจริง:  องค์การอนามัยโลกบอก ว่า 300 ล้านคนเป็นโรคซึมเศร้า (MDD) นั่นมากกว่า 4% ของประชากรโลก  ส่วนในไทย ปี 2551 กรมสุขภาพจิตประมาณว่ามี คนไทย 1.5 ล้านคน เป็นโรคซึมเศ

เจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ทำไงดี

เหมือนชีวิตกำลังเล่นปิงปองกับเรา ตีลูกยากง่ายใส่เราตลอดเวลา เรื่องกวนใจ ปัญหา ความสูญเสีย. บางคนเจอปัญหาแล้วจมอยู่ตรงนั้น ประทัวง “ลูกยากไม่เล่น”. บางคนยากง่ายรับหมดเต็มที่ เจอลูกยากอาจล้มเข่าถลอกแต่รีบลุกเล่นต่อ. ทำได้ไงอะ? ชัยจะต้องพรีเซ็นต์หัวข้อแรกตอนเช้าในงานสัมมนาของผู้บริหารหลายองค์กร. เช้านี้รถติดสาหัส. เขาร้อนใจจึงโทรไปบอกผู้จัดว่ากำลังจะถึง ให้เตรียมที่จอดรถไว้ให้เพราะปกติจะเต็ม. เกือบเฉี่ยวชนหลายหน แต่รถเขาก็ถึงสถานที่ตรงเวลาพอดี. เขาพารถไปโซน VIP ช่องที่มีเลขทะเบียนรถเขา แต่ยามไม่ให้จอด. เหลือเชื่อตัวเลขผิดไปหลักนึง. ยามให้วนขึ้นไปจอดในอาคาร บอกดาดฟ้ามีที่ แต่เขาไม่มีเวลาแล้ว. มันไม่ถูก เขาเถียง ช่องนี้เตรียมไว้ให้เขา ไม่ยุติธรรมเลย. รถข้างหลังต่อแถวยาวขึ้นๆ. เขายิ่งเถียงเสียงดังขึ้นๆ เลขผิดนิดเดียว เขาจอดโซนนี้ประจำ เจ้านายคุณรอเขาอยู่ ฯลฯ แต่ยามไม่ฟัง. ชีวิตเรามีปัญหาตลอด ในชีวิตเราจะพบกับปัญหาที่แก้ไม่ได้ และความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ต้องการ อยู่ตลอดเวลา. แต่เราพยายามมองไม่เห็นมัน. ถ้าเรื่องเล็กเราก็แค่สะสมความเครียด. เช่นเวลาหาของไม่เจอ, เพื่อนทำไม่ถูกใจ, โดนดูถูก ฯลฯ. ถ้

จะกินยา หรือไม่กินดี?

โชคดีมากที่ปัจจุบันโรคซึมเศร้าและไบโพลาร์สามารถรักษาได้ด้วยยา คนไข้ที่มีวินัยหาหมอกินยา 6 เดือนถึงปีกว่าส่วนใหญ่ก็จะหายและได้หยุดยา สาเหตุใหญ่ที่ทำให้บางคนไม่หายคือ “ไม่อยากกินยา” จะกินไม่กินดี? เมื่อไม่อยากกินยา แต่หมอสั่งให้กิน เราจะเกิดอาการลังเล “จะกินไม่กินดี?” แล้วลงเอยที่ “กินๆหยุดๆ” ซึ่งแย่กว่าไม่กินเสียอีก สภาวะนี้ทำให้เครียดหนักมาก กินก็รู้สึกแย่ ไม่กินก็อาการแย่ สับสนตำหนิตัวเองวนไปวนมา จะทำยังไงดี?

เป็นโรคจิตเวชไม่ได้ทำให้รอดคดีอาญา

ข่าวดราม่าที่ผู้ก่อเหตุเผยว่าเป็นโรคจิตเวช คนมักจะมองว่า “หงายการ์ดป่วย” โกหกว่าป่วยเพื่อเอาตัวรอด เพราะเข้าใจผิดว่าใครทำให้ศาลเชื่อว่าป่วยจิตเวช แล้วศาลจะให้พ้นผิดไปเลย เนื่องจากสังคมไทยยังเข้าใจผิดว่าผู้ป่วยจิตเวชคือคนบ้า และเชื่อว่ากฎหมายบอกว่าคนบ้าทำอะไรก็ไม่ผิด กรณีแบบนี้คนจึงพากันโกรธแค้นเพราะนึกว่าเขาจะไม่ต้องรับโทษจริงๆ ความเชื่อคนบ้าทำอะไรไม่ผิด เกิดจากคนส่วนใหญ่เห็นข่าวแบบนี้เฉพาะตอนเกิดเหตุเป็นดราม่าว่าอ้างป่วยจิตเวชแล้วทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ตอนศาลพิพากษาลงโทษข่าวจะเงียบ ทุกคดีความจำของสังคมจึงสรุปตามดราม่าว่าศาลยกโทษเสมอ ทั้งที่จริงๆแล้วศาลลงโทษทุกที จริงๆกฎหมายอาญาไม่ได้ระบุให้เว้นโทษกับผู้ป่วยโรคใดโรคหนึ่ง  มาตรา 65 บอกว่าเฉพาะกรณีที่ขณะกระทำความผิด จำเลยไม่สามารถรู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ (ที่เรียกกันว่าวิกลจริต) จึงจะไม่ต้องรับโทษ ดังนั้นเมื่อผู้ก่อเหตุเผยว่าเป็นโรคจิตเวชใดๆก็ยังไม่มีผลอะไร นอกจากจะทำให้สังคมเกลียดเขามากขึ้นจากความเข้าใจผิดข้างต้น การโกหกให้ศาลไทยเชื่อว่าวิกลจริตขณะก่อเหตุ แทบเป็นไปไม่ได้ เพราะนอกจากจะต้องหลอกจิตแพทย์แล้ว ศาลไทยก็ไม่ได้ฟั

วอนใช้คำให้ถูก โรคไบโพลาร์ไม่ใช่ที่เห็นในสื่อและละคร

วันนี้ 30 มีนาคม 2561 เป็น วันไบโพลาร์โลก  วันที่เราชวนให้โลกหันมาทำความรู้จักโรคไบโพลาร์¹ เพื่อกำจัดตราบาปในสังคม บ้านเรามีตราบาปโรคนี้ที่ไม่เหมือนที่อื่น เราใช้ชื่อไบโพลาร์เป็นคำด่านักการเมือง หรือคนที่เรากลียดชนิดไม่มีคำไหนสื่อระดับความเลวได้  เพราะหลักสูตรเราไม่ได้สอนเรื่องโรคจิตเวชกับเด็กๆ พอคนเห็นชื่อไบโพลาร์แปลว่าสองขั้ว ก็คิดเอาเองว่าคนป่วยจะเป็นคน ① สองบุคลิก วันนึงเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ② สองหน้า โกหกพลิกไปมาหน้าตาเฉย ③ เอาแต่ใจ ขี้วีน คุมตัวเองไม่ได้ ④ เสพติดความรุนแรงแบบฆาตกรโรคจิต ซึ่งทั้งหมดอาจจะเป็นโรคจิตเวชก็ได้ แต่เป็นโรคอื่นที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับไบโพลาร์สักนิด โรคไบโพลาร์ ในทางการแพทย์คือ ในทางการแพทย์ โรคไบโพลาร์   เป็น โรคทางสมอง ² ที่ทำให้มี บางเดือนเปลี่ยนไปแบบทุกวันหมดพลัง ท้อแท้ (เหมือนโรคซึมเศร้า) บางสัปดาห์/เดือนเปลี่ยนไปแบบทุกวันพลังล้นไฮเปอร์ มั่นใจเกินร้อย ช่วงที่เหลือ (เวลาประมาณ 50%³) ก็ปกติเหมือนตอนก่อนป่วย ความผิดปกติของสมองผู้ป่วยไบโพลาร์ ก็เหมือนคนเป็นไมเกรนไม่ได้ปวดหัวตลอดเวลา เขาจะปวดเฉพาะเวลาอาการกำเริบ สำหรับไบโพลาร์ช่วง 1 และ 2

ถ้าอยากหาย อย่าอยากหายเร็วๆ ให้คิดแบบนี้แทน

โรคเรานั้นรักษาไปก็หาย แต่ความที่มันทรมาน เราก็มักจะอยากหายเร็วๆ แต่มันไม่ใช่แค่หวัดที่จะหายได้ในไม่กี่วัน แม้อาการบางอย่างเช่นนอนไม่หลับอาจจะดีขึ้นเร็ว แต่อาการดีเพรสกว่าจะดีขึ้นก็เป็นเดือน ถ้าเราอยากหายเร็วๆมันจะทรมานสุดๆ จนสุดท้ายบางคนจะยอมแพ้ไปก่อน ฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เลิกรักษา ทั้งที่อาการก็ดีขึ้นแล้ว และถ้ารักษาต่อไปก็จะหายแน่ๆ แต่การรอคอยนั้นทรมานเกินไป ก็เลยหยุดยาเอง แล้วก็ได้พบกับนรกที่แย่กว่าอาการตอนแรกเสียอีก แล้วก็วนกลับมาเริ่มต้นรักษาใหม่ แต่คราวนี้ยาตัวเดิมอาจไม่ได้ผลเหมือนเก่า การรอคอยนั้นทรมานกว่าอาการของโรค ถ้าเรารอคอยนับวันเมื่อไหร่จะหาย แต่ละนาทีจะยาวนานเหมือนเวลาเดินช้ามาก ความทรมานส่วนนี้จะมากกว่าอาการของโรคทีแรกเสียอีก เหมือนไม่ใช่แค่รอคอยเฉยๆ แต่มีไฟลนหัวใจเราไปด้วย โชคร้ายที่เราจะแยกไม่ออกว่า ความเจ็บปวดส่วนไหนคืออาการของโรค ส่วนไหนมาจากการรอคอย ต่อเมื่อเลิกรอคอยแล้วเราจึงจะเห็นกับตา เมื่อความทรมานหายไป แต่มันยากสุดๆที่ใครจะเชื่อว่าการอยากหายนั้นเป็นโทษ เพราะความอยากหายนั้นเป็นคอมมอนเซนส์มากๆ แล้วมันก็เวิร์กในกรณีทั่วไปด้วย “ต้องอยากได้อันนั้นสิ ถึงจ

กลยุทธ์การคืนสู่สุขภาวะของป้าหนู

Pa Noo's Recovery Strategy โดยป้าหนู รัชนี แมนเมธี ป้าหนูขอแบ่งกลยุทธ์เป็น 4 ช่วงเวลาดังนี้ พ.ศ. 2545–2547 : ช่วงเปลี่ยนผ่าน พ.ศ. 2548–2558 : ช่วงปานสายใยแห่งรัก พ.ศ. 2559–2566 : ช่วงประจักษ์ตัวตน พ.ศ. 2567 - หมดลมหายใจ : ช่วงค้นพบตัวเอง 1. ช่วงเปลี่ยนผ่าน พ.ศ. 2516 ป้าเริ่มสอนหนังสือ พอถึง พ.ศ. 2545 ป้าป่วยเป็นโรคซึมเศร้า กว่าจะได้เข้ารับการรักษา ปี พ.ศ. 2546 ปี 2546 ปลายๆหมอบอกป้าหายป่วย แต่ป้ายังรู้สึกชีวิตมืดมน 1 เม.ย. 2547 ป้าได้เกษียณก่อนกำหนด ( Early Retire ) เป็นวันแรก 2. ช่วงปานสายใยแห่งรัก ป้าได้มีโอกาสเรียนรู้ และเป็นกรรมการสมาคมสายใยครอบครัว ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ป้ามีความสุขมาก เพราะได้ฟื้นพลังชีวิต ป้าได้เห็นคุณค่าในตนเองมาก 3. ช่วงประจักษ์ตัวตน ป้าได้นำประสบการณ์ช่วงที่ 2 และประสบการณ์ที่มีมาตั้งแต่เดิมมาใช้ประโยชน์ในการทำงานเพื่อส่วนรวมได้มากมายมหาศาล 4. ช่วงค้นพบตนเอง ป้าตกผลึกชีวิตตนเองเรียบร้อย เพราะได้ประจักษ์ตัวตนของตัวเอง รู้ว่าตนมีจุดแข็ง - จุดอ่อน, มีโอกาส - ถูกคุกคาม อะไรอย่างไร เห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเองว่าสามารถทำประโยชน์ให้มนุษยชาติได้อย่างไรมากที่สุดตาม