วิธีฝึกสติที่ง่ายที่สุดคือใช้การเดิน เพราะทุกคนเดินเป็นอยู่แล้ว และแต่ละครั้งที่เท้ากระทบพื้นก็เป็นความรู้สึกที่ชัดเจน รูปแบบนี้จึงเหมาะสำหรับมือใหม่ แต่ทำอย่างไรการเดินจึงจะเป็นการฝึกให้ได้สติความรู้สึกตัว (mindfulness) เป็นหลัก เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เป็นการฝึกสมาธิ (concentration) เพื่อความสงบเป็นหลัก (อย่างที่นิยมสอนในโรงเรียน)
การเดินฝึกสติก็มีหลายรูปแบบ บทความนี้เป็นรูปแบบของหลวงพ่อเทียน ซึ่งง่ายเพราะเดินตามธรรมชาติเหมือนที่เราเดินอยู่ทุกวัน ไม่ต้องเดินช้าๆ ไม่มีสเต็บกำหนดท่าทาง ไม่ต้องคิดคำบริกรรมในใจ ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่เท้า แค่รู้สึกตัวไประหว่างที่เดินแต่ละก้าวเท่านั้น
มันทั้งง่ายและเบาสบาย เพราะวิธีนี้ไม่มีความกดดันว่าต้องรู้ให้ต่อเนื่องปราศจากความคิด (ซึ่งทำงั้นจะได้สมาธิมากกว่าสติ) วิธีนี้หลงเมื่อไหร่ก็กลับมารู้สึกตัวใหม่เท่านั้น การรู้สึกความเคลื่อนไหวตรงๆแบบนี้ได้ผลเร็ว แถมทำได้เรื่อยๆตลอดทั้งวัน เพราะมันไม่ได้รบกวนการงานของเรา
การเดินฝึกสติก็มีหลายรูปแบบ บทความนี้เป็นรูปแบบของหลวงพ่อเทียน ซึ่งง่ายเพราะเดินตามธรรมชาติเหมือนที่เราเดินอยู่ทุกวัน ไม่ต้องเดินช้าๆ ไม่มีสเต็บกำหนดท่าทาง ไม่ต้องคิดคำบริกรรมในใจ ไม่ได้เพ่งความสนใจไปที่เท้า แค่รู้สึกตัวไประหว่างที่เดินแต่ละก้าวเท่านั้น
มันทั้งง่ายและเบาสบาย เพราะวิธีนี้ไม่มีความกดดันว่าต้องรู้ให้ต่อเนื่องปราศจากความคิด (ซึ่งทำงั้นจะได้สมาธิมากกว่าสติ) วิธีนี้หลงเมื่อไหร่ก็กลับมารู้สึกตัวใหม่เท่านั้น การรู้สึกความเคลื่อนไหวตรงๆแบบนี้ได้ผลเร็ว แถมทำได้เรื่อยๆตลอดทั้งวัน เพราะมันไม่ได้รบกวนการงานของเรา
“สติ” คืออะไร
ที่ว่าฝึกสติในที่นี้ ไม่ใช่คำว่าสติในภาษาไทย แต่เป็นสติในพุทธธรรม หรือที่ใช้ภาษาอังกฤษว่า “mindfulness” ส่วนคำว่า “มีสติ” ในภาษาไทยแปลว่าตื่นอยู่ ไม่ได้หลับหรือสลบ หรือรวมถึงว่ายังควบคุมตัวเองได้ ไม่ได้เมาหรือโกรธจนขาดวิจารณญาณ อันนี้เป็นสติตามธรรมชาติ แมวหมาก็มี
คนชอบสงสัยว่าจะต้องฝึกสติทำไม เพราะเข้าใจว่าฝึกสติตัวนี้ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว มีสติแบบนี้ก็ยังทำอะไรโดยไม่รู้ตัวได้ อย่างขับรถกลับบ้านโดยไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงระหว่างทางเลย หรือลืมแวะซื้อของที่ตั้งใจไว้ เราบ่อยๆวางของเองแต่ไม่รู้ว่าวางตรงไหน และบ่อยครั้งเครียดก็ไม่รู้ตัว จนกว่าจะเป็นหนักเป็นความโกรธหรือเศร้าค่อยรู้ แล้วก็เลยไม่รู้สาเหตุว่ามาจากคิดเรื่องอะไร
คนชอบสงสัยว่าจะต้องฝึกสติทำไม เพราะเข้าใจว่าฝึกสติตัวนี้ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว มีสติแบบนี้ก็ยังทำอะไรโดยไม่รู้ตัวได้ อย่างขับรถกลับบ้านโดยไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงระหว่างทางเลย หรือลืมแวะซื้อของที่ตั้งใจไว้ เราบ่อยๆวางของเองแต่ไม่รู้ว่าวางตรงไหน และบ่อยครั้งเครียดก็ไม่รู้ตัว จนกว่าจะเป็นหนักเป็นความโกรธหรือเศร้าค่อยรู้ แล้วก็เลยไม่รู้สาเหตุว่ามาจากคิดเรื่องอะไร
มีสติคือเสี้ยวเวลาที่เรา
- ใส่ใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน แทนที่จะอยู่กับอดีตหรืออนาคต ใส่ใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในตัวเอง รู้สึกตัว คือรู้สึกกายกับใจของตัวเอง อันเป็นสิ่งที่เราละเลยมาตลอดชีวิต
- และเต็มใจให้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่อยากรักษามันไว้ ไม่อยากกำจัดมันไป อนุญาตให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยไว้อย่างนั้น ไม่อยากควบคุม จัดการ แทรกแซง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง
สติแบบนี้เกิดขึ้นเองเรื่อยๆตลอดทั้งวัน ทำให้เรามองเห็นตัวเองอยู่บ้าง พอรู้ว่ากายอยู่ในสภาพอย่างไร ใจกำลังรู้สึกอะไร เป็นบางเวลา รู้แวบนึงก็หายไป ปล่อยเราไว้กับความคิด แล้วเดี๋ยวก็กลับมารู้อีกเรื่อยๆอย่างนี้ทั้งวัน
แต่คนส่วนใหญ่สติจะเกิดน้อย ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าทำอะไรไปตอนไหน ไม่รู้ว่ารู้สึกและคิดอะไร เมื่อไม่รู้ก็เลยจัดการความรู้สึกไม่ได้ ต้องทำอะไรทุกอย่างตามใจสั่ง มันอยากอะไรก็ต้องหาให้ มันโกรธเราก็ต้องทำร้ายคนอื่นหรือตัวเอง จมอยู่กับเรื่องอะไรก็ออกไม่ได้ นึกเรื่องแย่ๆในอดีตขึ้นมาก็จม กังวลปัญหาในอนาคตก็จม จนบางทีจะนอนก็ไม่หลับ บางคนเกลียดความรู้สึกตัวเองหนักเข้า ที่สุดทนไม่ได้ก็ท้อแท้จนอยากตาย
แต่คนส่วนใหญ่สติจะเกิดน้อย ก็เลยไม่ค่อยรู้ว่าทำอะไรไปตอนไหน ไม่รู้ว่ารู้สึกและคิดอะไร เมื่อไม่รู้ก็เลยจัดการความรู้สึกไม่ได้ ต้องทำอะไรทุกอย่างตามใจสั่ง มันอยากอะไรก็ต้องหาให้ มันโกรธเราก็ต้องทำร้ายคนอื่นหรือตัวเอง จมอยู่กับเรื่องอะไรก็ออกไม่ได้ นึกเรื่องแย่ๆในอดีตขึ้นมาก็จม กังวลปัญหาในอนาคตก็จม จนบางทีจะนอนก็ไม่หลับ บางคนเกลียดความรู้สึกตัวเองหนักเข้า ที่สุดทนไม่ได้ก็ท้อแท้จนอยากตาย
สติมียิ่งมากยิ่งดี
เราจัดเวลาฝึกสติก็เพื่อให้เวลาปกติเรามีสติเกิดบ่อยขึ้นๆ ตลอดทั้งวัน เหมือนเราออกกำลังกายก็เพื่อให้เวลาปกติเราแข็งแรงไม่เหนื่อยง่าย เมื่อสติเกิดบ่อยเราก็จะเห็นตัวเองมากขึ้น สามารถแก้ไขปัญหาในใจได้ตั้งแต่มันยังเป็นปัญหาน้อยๆ ไม่ต้องทำตามที่ใจมันสั่งเสมอไป สามารถปล่อยวางได้เก่งขึ้น ไม่ค่อยเผลอไปใส่ใจเรื่องไร้ประโยชน์หาเรื่องใส่ตัว เหมือนที่ทำมาตลอดชีวิต
เดินอย่างไรเพื่อฝึกสติ
มันง่ายจนเหลือเชื่อ เดินฝึกสติก็แค่เดินอย่างรู้สึกตัว คือแทนที่จะปล่อยใจลอย คิดเรื่อยเปื่อยเหมือนเวลาเดินปกติ ก็หันมาสนใจความเคลื่อนไหวของกายใจแทนเราจะเดินคนเดียวก็ได้ หรือถ้าเดินหลายคนก็ไม่พูดคุย ไม่ต้องเปิดเพลงฟังแบบเดินออกกำลังกาย เพราะเราจะหันมาฟังใจตัวเองเองบ้าง พาตัวเองไปอยู่ในที่สงบหน่อยก็จะช่วยให้ฝึกง่ายขึ้น แต่จะมีเสียง หรือมีคนอื่นบ้างก็ไม่เป็นไรถ้าเขาไม่มาสนใจเรา ดังนั้นในห้องนอนที่บ้าน หรือมุมหนึ่งในสวนสาธารณะก็โอเค
ท่าทางการเดินไม่ได้สำคัญ เดินแบบที่เราเดินเรื่อยเปื่อยตามปกติ ที่สำคัญคือวางใจให้ถูกต้อง แรกๆมันจะยากตรงนี้ เพราะมันหาจุดยากว่าต้องวางใจอย่างไรถึงจะพอดี ไม่ตึงไป ไม่หย่อนไป จะชี้ให้กันดูก็ไม่ได้ แต่พอทำบ่อยๆเราก็จะจำความรู้สึกนั้นได้เอง ความรู้สึกที่เรียกว่า “ความรู้สึกตัว” แล้วเราก็จะสามารถรู้สึกตัวเมื่อไหร่ก็ได้ทันทีที่ต้องการ
ปกติเรามักจะเดินกลับไปกลับมาในเส้นตรง ที่เรียกกันว่าเดินจงกรม เพราะการเดินต่อเนื่องยาวๆทำให้ใจลอยง่ายกว่า (แต่บางโอกาสก็ควรฝึกเดินทางปกติบ้าง) เริ่มจากกำหนดทางเดินระยะสัก 10-12 ก้าว แล้วก็เดินไปมาอยู่ในทางนั้น ใหม่ๆจะเดินเท้าเปล่าก็ดีแต่ไม่จำเป็น
เวลาเดินให้เหมือนเดินเล่นตามปกติ ไม่เร็ว ไม่ช้า ตาก็มองไปตามธรรมชาติ แต่อย่าก้มหน้าเกินไปเพราะจะทำให้ง่วง ส่วนมือนิยมจับกันไว้ข้างหน้าหรือหลัง เพื่อลดความเคลื่อนไหวให้เหลือแค่เท้า เวลากลับตัวก็เหมือนเวลาเดินปกติ จะท่าทางยังไงก็ได้ แต่ไม่ควรเดินต่อเนื่องเป็นวงกลม เพราะนอกจากจะใจลอยง่ายแล้วอาจจะเวียนหัว ดังนั้นให้กลับตัวตามเข็มนาฬิกา สลับกับทวนเข็มนาฬิกา จะได้ไม่เป็นวงกลม
มาดูกันว่าหลวงพ่อคำเขียนเดินจงกรมอย่างไร
เริ่มต้นกันเลย
- ทำใจว่าเราจะเดินเล่น ไม่ได้จะไปไหน ไม่ได้จะเอาอะไร
ไม่ได้มีธุระอะไร เดินเพื่อเดินเฉยๆ เพียงเจตนาจะให้เวลาตอนนี้กับตัวเองสำหรับฝึกสติ เราไม่ได้เดินเพื่อควบคุมกายหรือใจ ไม่ได้เดินเพื่อหยุดความคิด ไม่ได้เดินให้ใจสงบ ไม่แม้แต่จะเดินเพื่อให้มีสติมากขึ้น เราแค่เดินอย่างรู้สึกตัวไปทีละก้าวเฉยๆ รู้ไปทีละก้าว ไม่เอาอะไรเลย - เริ่มต้นก็เพียงกลับมาอยู่ในปัจจุบันพาใจกลับมาอยู่ที่นี่ ตอนนี้ หันมาสนใจตัวเองทั้งกายและใจ สนใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงนี้ เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ได้ยินเสียงรอบตัว เหมือนเวลาเดินปกติ บอกตัวเองระหว่างนี้เราจะโอเคกับทุกสิ่งในปัจจุบัน ทั้งข้างนอก (เช่นอากาศร้อนเย็น เสียงรบกวน คนอื่น) และข้างใน (เช่นความหงุดหงิด เบื่อ เศร้า กังวล สงบ) อนุญาตให้มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งสิ่งที่เราชอบและเกลียดก็ตั้งใจจะรู้สึกไปเฉยๆ ไม่พยายามรักษาหรือกำจัดมันตอนนี้
- ตั้งเจตนาว่าตอนนี้เป็นเวลาฝึกสติเราตั้งใจจะทำเพียงก้าวเดิน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำงาน คิดทบทวน หรือวางแผน แม้ใจมันจะคอยแอบคิดเรื่องที่มันอยากคิด แต่เมื่อเรารู้สึกตัว เราจะไม่ใช้เวลาตอนนี้เพื่อคิดเรื่องนั้นต่อ บอกตัวเองว่าตอนนี้กำลังฝึกสติ ครบเวลาแล้วค่อยกลับมาคิดเรื่องนั้นใหม่ ตอนนี้ขอให้มีแต่ใจเผลอคิดเอง ไม่ใช่เจตนาปล่อยมันคิดไปตามใจ
- แล้วก็ก้าวเดินไปตามธรรมชาติ อย่างรู้สึกตัวเหมือนกำลังเดินเล่นแถวบ้าน เพียงสนใจความเคลื่อนไหวของกาย เราจะรู้สึกเองโดยอัตโนมัติว่าเท้าเราเคลื่อนไหวไปอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อเท้ากระทบพื้นจะรู้สึกชัด ตอนนี้เรียกว่าเรากำลัง “รู้”
เราจะปล่อยให้ร่างกายเดินไปเองเหมือนปกติ ไม่ต้องพยายามตั้งใจก้าวเดินจนผิดธรรมชาติ แค่ตามรู้สึกความเคลื่อนไหวที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ต้องพากย์คำอะไรในใจ เช่น "ซ้าย ขวา" แค่รู้สึกความเคลื่อนไหวไปเท่าที่รู้สึกได้ตามธรรมชาติ รู้แค่ไหนก็แค่นั้น ชัดบ้างเบลอบ้างก็ดี แค่รู้ก็พอ - เดินไปไม่ทันไร ใจก็จะหยิบเรื่องอื่นมาคิดใจเราเหมือนเก้าอี้ดนตรีที่มีคนแย่งกันนั่งสองคนคือความคิดกับสติ เวลาคิด-ไม่มีสติ เวลามีสติ-ไม่มีความคิด แต่ธรรมชาติใจเรามันชอบความคิดมากกว่าสติ ที่เราฝึกสติก็เพื่อให้ใจหันมาชอบอยู่กับสติมากขึ้นๆ เพราะเราสั่งใจไม่ได้เลย จะสั่งให้มันคิดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆก็ไม่ได้ หรือสั่งให้หยุดคิด ให้มีสติเกิดขึ้นไปเรื่อยๆก็ไม่ได้ เราทำได้แค่ฝึกให้ใจมันคุ้นเคยกับสติเท่านั้น แล้วสติจะเกิดบ่อยขึ้นเอง
- เมื่อความคิดเกิดขึ้น สติก็จะหายไปที่เรียกว่าเรากำลัง “หลง” ตอนนั้นเราจะไม่รู้สึกกายใจแล้ว เท้าที่เคลื่อนไหวก็ไม่รู้สึก เดินไปกี่ก้าวหรือกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ มันคือใจลอยแวบนึงนั่นเอง ตอนนั้นเราไม่อยู่ในปัจจุบันแล้ว อาจจะหวนคิดถึงเรื่องในอดีต หรือกังวลอะไรในอนาคต แวบนั้นเราจะไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ได้ยินเสียงรอบตัว สมมุติเพื่อนโผล่มาหรือแตะตัวเราหรือมีเสียงดังขึ้น เราก็จะตกใจ
- เมื่อหลงไปแล้วพอรู้สึกตัวก็แค่กลับมาทำต่อเราจะหลงคิดไปสักพัก แล้วกายที่เคลื่อนไหวก็จะกระตุกเตือนให้ความรู้สึกตัวกลับมาเองตามธรรมชาติ จากนั้นเราก็แค่รู้สึกตัว ตามรู้กายที่เคลื่อนไหวต่อไปเท่านั้น แล้วมันก็จะหลงอีก แล้วก็รู้อีก อย่างนี้วนไปเรื่อยๆ เวลาฝึกสติ งานที่ทำมีแค่นี้
เริ่มจากทำวันละ 5 นาที ชอบค่อยเพิ่ม จัดเวลา “ฝึกในรูปแบบ” คือเวลาที่ตั้งใจไว้ฝึกสติโดยเฉพาะอย่างการเดินจงกรม ทำทุกวันเหมือนจัดเวลาออกกำลังกายทุกวัน ทำช่วงเช้าก็ดีจะได้คุ้นเคยกับสติไปตลอดทั้งวัน เราอาจจะเริ่มจากน้อยๆก่อน จะได้ไม่ขี้เกียจ พอรู้สึกดีกับมันก็ค่อยเพิ่มเวลา หรือวันไหนไม่มีเวลาก็ฝึกอย่างน้อย 5 นาทีก็ยังดีกว่าหยุดไปเลย ไม่งั้นทำๆหยุดๆสุดท้ายก็เลิกก่อนที่จะได้ผลอะไร
นอกจากนั้นก็ให้รู้สึกตัวบ่อยๆเท่าที่นึกได้ ตลอดทั้งวัน ชีวิตประจำวันเราก็จะต้องมีเดินสั้นบ้างยาวบ้าง ก็ให้ทำแบบเดียวกัน เดินอย่างรู้สึกตัว อย่างน้อยที่สุดก็รู้เวลาเท้าสัมผัสพื้น ก็สนใจรู้สึกเรื่อยๆจนเป็นนิสัย ทำให้เรามีโอกาสสะสมความคุ้นเคยกับสติได้เรื่อยๆ กระจายตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามีช่วงที่ได้เดินคนเดียวยาวๆ เช่นเดินเข้าซอยบ้าน ก็ใช้โอกาสนั้นฝึกในรูปแบบตลอดช่วงนั้นไปเลย
เรียกว่าจำได้เมื่อไหร่ก็พยายามรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ สติก็จะเกิดบ่อยขึ้นๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการ “ฝึกในชีวิตประจำวัน” ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรช้าๆตลอดเวลา แค่หยุดรู้สึกตัวสักเสี้ยววินาทีก่อนจะทำอะไรอยู่เรื่อยๆ ที่สำนวนไทยว่า “คิดก่อนทำ” จริงๆต้องบอกว่าให้ “รู้สึกตัวก่อนทำ” มากกว่า เราจะทำอะไรเร็วๆก็ได้ ด้วยความเพียรและตื่นตัว ด้วยความรู้สึกตัว ไม่ใช่ด้วยความรีบเร่ง เพราะความรีบเร่งก็คือเกลียดปัจจุบันอยากข้ามไปอนาคต คืออยากทำอันนี้เสร็จเร็วๆ ซึ่งเป็นการตั้งใจโยนสติทิ้งไปเปล่าๆหมดเลย
เรียกว่าจำได้เมื่อไหร่ก็พยายามรู้สึกตัวอยู่เรื่อยๆ สติก็จะเกิดบ่อยขึ้นๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการ “ฝึกในชีวิตประจำวัน” ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรช้าๆตลอดเวลา แค่หยุดรู้สึกตัวสักเสี้ยววินาทีก่อนจะทำอะไรอยู่เรื่อยๆ ที่สำนวนไทยว่า “คิดก่อนทำ” จริงๆต้องบอกว่าให้ “รู้สึกตัวก่อนทำ” มากกว่า เราจะทำอะไรเร็วๆก็ได้ ด้วยความเพียรและตื่นตัว ด้วยความรู้สึกตัว ไม่ใช่ด้วยความรีบเร่ง เพราะความรีบเร่งก็คือเกลียดปัจจุบันอยากข้ามไปอนาคต คืออยากทำอันนี้เสร็จเร็วๆ ซึ่งเป็นการตั้งใจโยนสติทิ้งไปเปล่าๆหมดเลย
หลงเป็นเรื่องปกติ
อย่าอยากสงบคือไม่หลงเลย หลงบ่อยๆนั้นถูกแล้ว ทุกครั้งที่หลงก็ได้กลับมารู้ หลงบ่อยๆก็ได้รู้บ่อยๆดีเราฝึกสติสาเหตุนึงก็เพื่อเรียนรู้ว่าใจทำงานของมันเอง ตอนฝึกเราจะเห็นว่าเราไม่ได้ตั้งใจคิดเลย แต่ความคิดมันก็เกิดขึ้นเอง เหมือนมีเด็กคนนึงเดินตามเราไปทุกหนทุกแห่ง แล้วก็พูดอะไรขึ้นมาเองเรื่อยๆ เมื่อเราเห็นว่าความคิดมันเกิดขึ้นเองอย่างนี้บ่อยๆ แล้วเราจะเริ่มปล่อยวางความคิดง่ายขึ้นๆ เลิกเชื่อมันอย่างเป็นจริงเป็นจังเหมือนแต่ก่อน
เช่นต่อไปเมื่อความคิดสั่งให้โต้ตอบใคร ให้ต่อว่าหรือทำร้ายเขา เราจะไม่เชื่อมันก็ได้ เพราะเราเห็นแล้วว่าความคิดมันมาเองแล้วก็ไปเองของมัน เราไม่ได้สั่งให้มันคิด ดังนั้นเราก็ไม่ต้องเชื่อมันก็ได้ การเห็นว่าเราห้ามใจไม่ให้หลงไม่ได้ จึงเป็นการเข้าใจความจริงที่สำคัญของชีวิต
ปัญหาที่จะต้องเจอ
- เจตนาคิด
เวลามันหลง จะสั้นหรือยาวก็ไม่เป็นไร เสร็จแล้วมันจะกลับมารู้เองเสมอ ปัญหาที่หลงยาวๆคือเจอเรื่องที่ชอบ (หรือเกลียด) แล้วเราเลยเจตนาคิดเรื่องนั้นยาวไปเลย ห้ามใจไม่ได้ มันเหมือนสมมุติเรากำลังคุมอาหารลดความอ้วนโดยงดขนมหวาน แล้ววันนั้นเจอขนมโปรดก็เผลอกินเข้าไปครึ่งกล่อง แล้วค่อยรู้ตัวนึกขึ้นได้ว่ากำลังคุมอาหาร ตอนนี้บางคนจะหยุดกินไม่ได้ ติดว่ากำลังอร่อย
แม้เราบังคับให้มันหยุดไม่ได้ เพราะเราบังคับใจไม่ได้อยู่แล้ว แต่ให้เราสอนมันอย่างในข้อ 3 คือ “ตอนนี้เป็นเวลาฝึกสติ” จะเรื่องงานก็เอาไว้คิดทีหลัง จะเรื่องกังวลก็ฝึกเสร็จแล้วค่อยกลับมากังวลก็ยังทัน สอนมันอย่างอ่อนโยนอย่างนี้เรื่อยๆ แล้วมันจะอดใจหยุดอร่อยความคิดได้มากขึ้น ห้ามดุมันเด็ดขาด เพราะถ้าดุจะกลายเป็นทะเลาะกับมันไปยาวๆอีก - ไม่อยากคิด อยากสงบ
เตรงข้ามกับเจตนาคิดคือพยายามห้ามความคิด ทำให้ตั้งใจมาก พยายามเพ่งการเคลื่อนไหวของเท้าให้ชัดต่อเนื่องนานๆ และคอยกลั้นไม่ให้ความคิดเกิดขึ้น (บางทีเหมือนกลั้นหายใจ) เพราะเข้าใจว่าฝึกสติเพื่อจะเอาความสงบ (สมาธิ) แต่จริงๆเราฝึกสติเพื่อให้มีสติแค่นั้น ไม่ได้เอาอะไร ถ้าอยากสงบก็เดินไปด้วยความอยาก รู้สึกตัวบ้างอยากบ้าง มันจะหนักๆอึดอัดไม่โล่งสบาย ทำไปไม่นานก็เครียด หรือบางคนจะเวียนหัว
ต้องวางความอยากสงบลงไป สอนมันให้เดินไปรู้สึกตัวไปเป็นครั้งๆ ไม่เอาอะไร แค่เรารู้ตัวโดยปราศจากความอยากครั้งนึง ก็เป็นความสำเร็จครั้งนึงแล้ว เพราะมันคือเอาชนะความอยากได้ครั้งนึง ซึ่งมีคุณค่ามากแล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ยาวๆ แค่รู้แล้วก็ทิ้งไป รู้เฉยๆ รู้ซื่อๆ รู้โง่ๆ รู้แค่ครั้งนี้ ไม่สนใจครั้งที่แล้วหรือครั้งต่อไป วางใจอย่างนี้จะง่ายและผ่อนคลาย ฝึกสติเป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลาย ถ้าทำแล้วเครียดก็ต้องมีอะไรผิดพลาดแล้ว - ง่วง เบื่อ
เถ้าทำไปนานๆ หรือทำตอนขี้เกียจ มันมักจะง่วง ความง่วงนี้โตมาจากความเบื่อและความขี้เกียจ ซึ่งจะเกิดขึ้นมาสักพักนึงแล้วก่อนจะง่วง ดังนั้นถ้ารู้สึกตัวก่อนว่าเบื่อก็ต้องแก้ความเบื่อนั้นก่อนจะกลายเป็นความง่วง เช่นเปลี่ยนแปลงอะไรสักหน่อย เดินเร็วขึ้น เดินถอยหลัง เดินไปข้างๆ มองท้องฟ้าไกลๆ ทำใจให้สดชื่น ฯลฯ แต่ถ้าง่วงไปแล้วไม่ไหวจริงก็เบรกไปล้างหน้า แต่ระหว่างที่เบรกนั้นต้องรู้สึกตัวไปตลอดด้วย ไม่งั้นที่สติที่รักษาไว้ก็จะรั่วไปต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีก - ตำหนิตัวเอง
ความเพียรคือขยันรู้สึกตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่ความตั้งใจมากๆไม่ดี ขยันคือทำมากๆ แต่ตั้งใจคือความคาดหวังว่าจะได้ผลมาก ได้ความรู้สึกตัวมากๆ มันทำให้เกิดความอยากรู้สึกตัว เลยทำไปโดยไม่ใช่รู้ซื่อๆแล้ว
เสร็จแล้วใจก็ต้องหลงจนได้ พักนึงพอความรู้สึกตัวกลับมา แทนที่จะพอใจ เราจะกลับรู้สึกแย่ที่เมื่อกี้เผลอ พอเป็นอย่างนี้หลายๆหนสะสมเลยเริ่มทะเลาะกับตัวเอง นี้เป็นที่มาของความหงุดหงิด ซึ่งนำไปสู่ความฟุ้งซ่านหนักขึ้นไปอีก ดังนั้นถ้าจะไม่ฟุ้งซ่าน ก็ไม่ต้องอยากรู้เยอะๆ ทำใจสบายๆ รู้บ้างหลงบ้าง พอกลับมารู้แล้วก็ไม่ต้องสนใจที่หลงไปเมื่อกี้ และไม่ต้องระวังไม่ให้หลงครั้งต่อไป มันจะหลงยาวหรือสั้นมันก็จะกลับมาเอง (ถ้าไม่ปล่อยให้เจตนาคิด) ให้ไว้ใจสติของตัวเอง รู้แล้วก็ทิ้งไปเลย ไม่ต้องคาดหวังอะไร
รู้จักบ้านที่แท้จริงข้างในตัวเอง
วิธีวางใจที่ถูกอย่างที่เล่าข้างต้น เช่นให้รู้บ้างหลงบ้าง อย่าอยากรู้ยาวๆ สำหรับคนใหม่มันจะฟังดูง่ายเกินไป จนจะไม่ค่อยยอมเชื่อง่ายๆ เพราะเราจะชินว่างานทางโลก จะทำอะไรต้องจริงจังมากๆถึงจะได้ผลสำเร็จ
แม้แต่ความรู้สึกตัวก็ฟังดูเหมือนจะมีความพิเศษ ขนาดต้องมาฝึกสติถึงจะเจอ แต่จริงๆมันเป็นของธรรมดาที่เรามีกันอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยชอบมัน การฝึกสติก็แค่มาทำความรู้จักมันให้ดีมากๆ พอรู้จักดีแล้วจะชอบมันที่สุด ก็เลยอยากอยู่กับมันบ่อยๆ ทำให้ความรู้สึกตัวกลายเป็นบ้านที่เราจะกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้ โดยเฉพาะเพื่อพักฟื้นทุกครั้งที่ประสบปัญหาในใจ ตอนนั้นเราจึงสามารถพึ่งตัวเองได้จริงๆ
ไม่เหมือนสมัยที่เรายังเป็นคนไร้บ้าน รู้สึกแย่จะตายก็ไม่รู้จะไปไหน ได้แต่จมอยู่ในความคิดตัวเอง
วางใจให้ถูกแล้วทำไปเรื่อยๆ
จริงๆถ้าขยันฝึก แม้จะวางใจผิดแต่สุดท้ายก็จะเห็นเองว่าจุดที่ถูกคือตรงไหน คำแนะนำการวางใจข้างต้น สำหรับคนใหม่จะแทบไม่เข้าหัวเลย แต่พอทำไปแล้วจะเริ่มสงสัย แล้วก็จะได้คำตอบเอง ดังนั้นวันหลังกลับมาอ่านอีกทีจะเข้าใจมากขึ้น แต่อย่างน้อยให้ถือหลักว่า การปฏิบัติที่ถูกจะผ่อนคลาย ถ้าทำไปแล้วเครียดแปลว่าเราต้องวางใจผิดแน่นอนถ้าเป็นไปได้ควรเข้าไปฝึกในคอร์สเจริญสติแบบเคลื่อนไหวอย่างน้อย 7 วัน พอรู้จักความรู้สึกตัวแล้วก็รักษามันไว้เรื่อยๆ อย่างนี้เป็นวิธีเริ่มต้นที่เร็วสุด
จากหนังสือ "รู้ ตื่น เบิกบาน" ของ พอจ.ไพศาล วิสาโล |