โรคเรานั้นรักษาไปก็หาย แต่ความที่มันทรมาน เราก็มักจะอยากหายเร็วๆ แต่มันไม่ใช่แค่หวัดที่จะหายได้ในไม่กี่วัน แม้อาการบางอย่างเช่นนอนไม่หลับอาจจะดีขึ้นเร็ว แต่อาการดีเพรสกว่าจะดีขึ้นก็เป็นเดือน ถ้าเราอยากหายเร็วๆมันจะทรมานสุดๆ
จนสุดท้ายบางคนจะยอมแพ้ไปก่อน ฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เลิกรักษา ทั้งที่อาการก็ดีขึ้นแล้ว และถ้ารักษาต่อไปก็จะหายแน่ๆ แต่การรอคอยนั้นทรมานเกินไป ก็เลยหยุดยาเอง แล้วก็ได้พบกับนรกที่แย่กว่าอาการตอนแรกเสียอีก แล้วก็วนกลับมาเริ่มต้นรักษาใหม่ แต่คราวนี้ยาตัวเดิมอาจไม่ได้ผลเหมือนเก่า
แต่มันยากสุดๆที่ใครจะเชื่อว่าการอยากหายนั้นเป็นโทษ
เพราะความอยากหายนั้นเป็นคอมมอนเซนส์มากๆ แล้วมันก็เวิร์กในกรณีทั่วไปด้วย “ต้องอยากได้อันนั้นสิ ถึงจะได้สิ่งนั้น” เช่นเด็กอยากเป็นวิศวกร ก็จะตั้งใจเรียนมากๆ หรือคนเป็นมะเร็งแล้วก็อยากหาย ก็เลยอดทนกับการรักษาที่เจ็บปวด
แต่การอยากหายมันได้ผลตรงข้ามสำหรับโรคจิตเวช
เพราะ “ความทรมาน” จากการรอคอย นั้นจะเข้าไปบวกเพิ่มกับ “ความเจ็บปวด” ของโรค สองแรงรวมกันเป็นก้อนใหม่ที่ทำให้เราอยากหายมากขึ้นอีก แล้วความอยากหายที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ทำให้ทรมานมากขึ้น ซึ่งจะไปบวกเพิ่มให้ก้อนนั้นใหญ่ขึ้นอีก วนไปจนทำให้เราอยากหายตอนนี้เลย “ไม่ไหวแล้ว” วงจรอุบาทว์นี้ทำให้ความทุกข์ขยายใหญ่ขึ้นเร็วมาก
เหมือนเวลากลิ้งก้อนหินเล็กๆลงจากภูเขาหิมะ แล้วจะกลายเป็นสโนว์บอลลูกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเท่าบ้าน อาการของโรคก็เหมือนก้อนหินเล็กๆนั้น มันมีขนาดเท่าเดิมตลอดเส้นทาง ส่วนที่เพิ่มคือความอยากหายที่พอกพูนจนใหญ่กว่าก้อนหินนั้นมาก
กรณีอย่าง Stockdale เป็นที่สนใจของจิตแพทย์ Dr. Dennis Charney ซึ่งขณะนั้นกำลังวิจัยหาวิธีใหม่ๆในการรักษาโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล โจทย์คือ คนที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงสุดๆ ทำไมบางคนไม่รอด ทำไมบางคนกลับแข็งแรงขึ้น ถึงขนาดขอบคุณที่ได้ประสบเหตุการณ์ร้ายนั้น Charney รวบรวมข้อมูลจากกรณีคนที่โชคร้ายสุดๆเหล่านั้น แล้วสรุปว่า
พวกเราทำแบบนั้นกันหรือเปล่า? เค้าสอนให้คิดบวกก็เลยคิดว่าฉันกำลังจะหาย ทั้งที่เพิ่งเริ่มรักษาเดือนแรกๆ แม้บางคนที่หายเร็วอาจจะหายใน 6 เดือน แต่บางคนอาจจะปีครึ่ง หรือหลายปี (โดยเฉพาะคนที่เริ่มรักษาช้า หรือหยุดยาเองหลายรอบ) ถ้าเราคิดว่าเดี๋ยวก็จะหายแล้ว เราก็จะผิดหวังทุกวัน ใครจะทนผิดหวังทุกวันเป็นเดือนๆได้? สุดท้ายเราก็จะยอมแพ้ แล้วบางคนจะตายเพราะอกหักจริงๆ
แต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย?
เพราะเราเคยเห็นคนเป็นหวัดแล้วหาย ขาหักแล้วหาย แต่ไม่เคยเห็นคนเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์แล้วหายเลยสักคน เพราะอะไร? เพราะโรคจิตเวชมีตราบาปจากสังคม เราจะไม่บอกว่าเราเป็น ดังนั้นจะไม่มีใครเคยเห็นใครป่วยแล้วหาย นอกจากหมอกับคนป่วย
“จะหายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” เราคิด “แต่ฉันจะทำเต็มที่ทุกอย่างเพื่อไปถึงจุดนั้น”
จนสุดท้ายบางคนจะยอมแพ้ไปก่อน ฆ่าตัวตาย หรือไม่ก็เลิกรักษา ทั้งที่อาการก็ดีขึ้นแล้ว และถ้ารักษาต่อไปก็จะหายแน่ๆ แต่การรอคอยนั้นทรมานเกินไป ก็เลยหยุดยาเอง แล้วก็ได้พบกับนรกที่แย่กว่าอาการตอนแรกเสียอีก แล้วก็วนกลับมาเริ่มต้นรักษาใหม่ แต่คราวนี้ยาตัวเดิมอาจไม่ได้ผลเหมือนเก่า
การรอคอยนั้นทรมานกว่าอาการของโรค
ถ้าเรารอคอยนับวันเมื่อไหร่จะหาย แต่ละนาทีจะยาวนานเหมือนเวลาเดินช้ามาก ความทรมานส่วนนี้จะมากกว่าอาการของโรคทีแรกเสียอีก เหมือนไม่ใช่แค่รอคอยเฉยๆ แต่มีไฟลนหัวใจเราไปด้วย โชคร้ายที่เราจะแยกไม่ออกว่า ความเจ็บปวดส่วนไหนคืออาการของโรค ส่วนไหนมาจากการรอคอย ต่อเมื่อเลิกรอคอยแล้วเราจึงจะเห็นกับตา เมื่อความทรมานหายไปแต่มันยากสุดๆที่ใครจะเชื่อว่าการอยากหายนั้นเป็นโทษ
เพราะความอยากหายนั้นเป็นคอมมอนเซนส์มากๆ แล้วมันก็เวิร์กในกรณีทั่วไปด้วย “ต้องอยากได้อันนั้นสิ ถึงจะได้สิ่งนั้น” เช่นเด็กอยากเป็นวิศวกร ก็จะตั้งใจเรียนมากๆ หรือคนเป็นมะเร็งแล้วก็อยากหาย ก็เลยอดทนกับการรักษาที่เจ็บปวด
แต่การอยากหายมันได้ผลตรงข้ามสำหรับโรคจิตเวช
เพราะ “ความทรมาน” จากการรอคอย นั้นจะเข้าไปบวกเพิ่มกับ “ความเจ็บปวด” ของโรค สองแรงรวมกันเป็นก้อนใหม่ที่ทำให้เราอยากหายมากขึ้นอีก แล้วความอยากหายที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ทำให้ทรมานมากขึ้น ซึ่งจะไปบวกเพิ่มให้ก้อนนั้นใหญ่ขึ้นอีก วนไปจนทำให้เราอยากหายตอนนี้เลย “ไม่ไหวแล้ว” วงจรอุบาทว์นี้ทำให้ความทุกข์ขยายใหญ่ขึ้นเร็วมาก
เหมือนเวลากลิ้งก้อนหินเล็กๆลงจากภูเขาหิมะ แล้วจะกลายเป็นสโนว์บอลลูกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเท่าบ้าน อาการของโรคก็เหมือนก้อนหินเล็กๆนั้น มันมีขนาดเท่าเดิมตลอดเส้นทาง ส่วนที่เพิ่มคือความอยากหายที่พอกพูนจนใหญ่กว่าก้อนหินนั้นมาก
ไม่ให้อยากหาย แล้วจะให้คิดยังไง
ขอแนะนำให้รู้จัก Stockdale Paradox หรือ คำแนะนำที่ดูเหมือนขัดแย้งกันของพลเรือเอก James Stockdale
1. คุณต้องคงความเชื่อมั่นว่าคุณจะชนะในที่สุด ไม่ว่าจะยากลำบากขนาดไหนแต่ในขณะเดียวกัน
2. คุณต้องเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่โหดร้ายของความเป็นจริงในปัจจุบันของคุณ ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงJames Stockdale (ผู้ล่วงลับ) เป็นนายทหารยศสูงสุดที่ถูกจับเป็นเชลยศึกในสงครามเวียดนาม ถูกขังเดี่ยวไม่เห็นหน้าพวกเดียวกันนาน 8 ปี ในห้องปิดปราศจากหน้าต่าง ติดหลอดไฟที่เปิดไว้ตลอด 24 ชั่วโมง และถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนที่เท้าทุกคืน ตลอดช่วงเวลานั้นเค้าถูกทรมานนับครั้งไม่ถ้วน วันที่เค้ากลับบ้านเค้าแบบเดินไม่ได้ ขาหัก ไหล่ทั้งสองหลุดจากเบ้า หลังหัก ทำให้ไม่สามารถยืนตรงได้จนตลอดชีวิต
Stockdale Paradox — ฉันกำลังลำบากโคตรๆ แต่ฉันจะชนะในที่สุด
แน่นอนเค้ารอดมาได้ แต่แทนที่จะเป็น PTSD (โรคเครียดหลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ) เค้ากลับประสบความสำเร็จในช่วงต่อมามากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายได้เข้าท้าชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯถึงสองหนกรณีอย่าง Stockdale เป็นที่สนใจของจิตแพทย์ Dr. Dennis Charney ซึ่งขณะนั้นกำลังวิจัยหาวิธีใหม่ๆในการรักษาโรคซึมเศร้าและวิตกกังวล โจทย์คือ คนที่ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงสุดๆ ทำไมบางคนไม่รอด ทำไมบางคนกลับแข็งแรงขึ้น ถึงขนาดขอบคุณที่ได้ประสบเหตุการณ์ร้ายนั้น Charney รวบรวมข้อมูลจากกรณีคนที่โชคร้ายสุดๆเหล่านั้น แล้วสรุปว่า
เมื่อคุณประสบอุปสรรคหรือความเจ็บช้ำ ให้คุณมองดูปัญหาอย่างตรงไปตรงมา คุณอาจจะประเมินทำนองว่า “ฉันกำลังฉิบหายครั้งใหญ่” คุณจะประเมินสิ่งที่คุณเจออย่างเรียลลิสติก แต่ในทางกลับกัน ให้คุณมีทัศนคติและความมั่นใจว่า “แต่ฉันจะชนะในที่สุด ฉันกำลังลำบากโคตรๆ แต่ฉันจะชนะในที่สุด”
คิดบวกแบบหลับหูหลับตาทำให้อกหักตาย
ในหนังสือ Good to Great นายพล Stockdale อธิบายให้ผู้เขียนฟังว่า คนที่คิดบวกที่สุดคือคนที่ไม่รอดกลับมาพวกเค้าคือคนที่บอกว่า “เราจะได้กลับภายในวันคริสต์มาสนี้” แล้วคริสต์มาสก็ผ่านมา และผ่านไป แล้วพวกเค้าก็ว่า “เราจะได้กลับภายในวันอีสเตอร์นี้” แล้วอีสเตอร์ก็ผ่านมา และผ่านไป แล้วก็วันขอบคุณพระเจ้า แล้วก็วันคริสต์มาสอีกรอบ แล้วพวกเค้าก็ตายเพราะอกหัก
พวกเราทำแบบนั้นกันหรือเปล่า? เค้าสอนให้คิดบวกก็เลยคิดว่าฉันกำลังจะหาย ทั้งที่เพิ่งเริ่มรักษาเดือนแรกๆ แม้บางคนที่หายเร็วอาจจะหายใน 6 เดือน แต่บางคนอาจจะปีครึ่ง หรือหลายปี (โดยเฉพาะคนที่เริ่มรักษาช้า หรือหยุดยาเองหลายรอบ) ถ้าเราคิดว่าเดี๋ยวก็จะหายแล้ว เราก็จะผิดหวังทุกวัน ใครจะทนผิดหวังทุกวันเป็นเดือนๆได้? สุดท้ายเราก็จะยอมแพ้ แล้วบางคนจะตายเพราะอกหักจริงๆ
นั่นคือสาเหตุที่หลายคนจะทรมานสุดๆตอนกินยา
ไม่ใช่เพราะมันกลืนยาก แต่เพราะทุกครั้งที่กินยา มันทำให้เราตระหนักว่าเรายังป่วยอยู่ เป็นโรคที่ตัวเองรังเกียจไม่อยากยอมรับ พยายามลืมๆไม่นึกถึงมัน หลับหูหลับตาเพราะไม่อยากยอมรับความลำบากโคตรๆนี้ ทั้งที่ไม่สามารถหนีไปไหนได้เชื่อในแง่ดี คิดตามเป็นจริง
1. ฉันเชื่อว่าฉันต้องหายแน่ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
โรคจิตเวชก็รักษาได้เหมือนโรคอื่นๆ ตามสถิติสหรัฐฯ 80% ของคนที่เป็นโรคทางอารมณ์จะประสบความสำเร็จในการรักษา คนที่ไม่หาย 50% เกิดจากหยุดยาเองแต่ทำไมเรากลับรู้สึกว่าโรคนี้ไม่มีทางรักษาหาย?
เพราะเราเคยเห็นคนเป็นหวัดแล้วหาย ขาหักแล้วหาย แต่ไม่เคยเห็นคนเป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์แล้วหายเลยสักคน เพราะอะไร? เพราะโรคจิตเวชมีตราบาปจากสังคม เราจะไม่บอกว่าเราเป็น ดังนั้นจะไม่มีใครเคยเห็นใครป่วยแล้วหาย นอกจากหมอกับคนป่วย
2. ตอนนี้ฉันกำลังเผชิญปัญหาที่ยากมากๆ
มันเป็นงานใหญ่มาก ใหญ่กว่างานอื่นทั้งหมดในชีวิต โรคของเรานั้นยากลำบากไม่น้อยไปกว่าโรคมะเร็ง เราจะต้องทุ่มเทอย่างมากกับการรักษา ถึงจะได้อยู่ในกลุ่ม 80% ที่หาย เราจะร่วมมือกับหมออย่างเต็มที่ ยอมทำทุกอย่างที่หมอบอกว่าจะทำให้เราหาย กินยาครบทุกมื้อ นอนตรงเวลา เว้นสิ่งเสพติด และแม้อาการดีขึ้น เราจะไม่วินิจฉัยตัวเองให้หยุดยาเอง จนกว่าหมอจะเป็นคนวินิจฉัยว่าเราหายสรุป
ตามสถิติคือพวกเราส่วนใหญ่รักษาไปก็หาย เว้นแต่ไม่ร่วมมือกับหมอ เมื่อเราศรัทธาในตัวเองว่าจะหายแน่ๆ ศรัทธาในการรักษาทางการแพทย์ ศรัทธาในหมอของเราและยาที่หมอเลือก แล้วหลังจากนั้นเราจะยอมรับความยากลำบากที่มากับโรคของเราได้ เราจะเลิกโฟกัสที่ “ผล” แต่ไปโฟกัสที่ “งาน” ที่เราต้องทุ่มเททำเพื่อให้ตัวเองหาย การหาหมอก็จะไม่น่าเบื่อ การกินยาจะกลายเป็นการเติมพลัง เราจะไม่นับวันรอเมื่อไหร่จะหาย“จะหายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น” เราคิด “แต่ฉันจะทำเต็มที่ทุกอย่างเพื่อไปถึงจุดนั้น”