น้อยคนจะเคยพบจิตแพทย์มาก่อน บทความนี้รวบรวมประสบการณ์ 6 ปีจากสมาชิกหลายร้อยคนในกรุ๊ปของเรา จากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นบ่อยๆทำให้เราหายช้า แต่ละข้อทำได้ง่ายๆแต่หลายคนคิดไม่ถึง จึงกลายเป็นปัญหาที่เจ็บปวด ใช้เวลาไม่กี่นาทีอ่านบทความนี้ แล้ววันนึงคุณจะขอบคุณตัวเอง
1) ตกลงแผนเหตุการณ์ล่วงหน้า
ปกติเราก็จะกินยาไปตามที่หมอสั่งทุกมื้อ แต่จะมีเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นได้เสมอๆ เนื่องจากเราอาจไม่สามารถโทรหาหมอได้ทันที ดังนั้นจึงต้องตกลงกับหมอไว้ล่วงหน้า
- กรณี "นอนไม่หลับ" - ปกติเราควรจะนอนหลับได้โดยไม่ต้องอาศัยยานอนหลับ อย่างไรก็ตาม ควรจะมียานอนหลับติดหัวเตียงไว้เผื่อคืนที่มีเรื่องเข้ามา เพราะเราคนป่วยการนอนไม่หลับแค่คืนเดียวก็ทำให้อารมณ์สวิงไปดีเพรส/แมเนียได้ทันที จึงควรขอยานอนหลับจากหมอติดไว้ (ซึ่งหมอจะให้ได้ไม่มาก เพื่อป้องกันกินยาเกินขนาด)
- กรณี "กินยานอนหลับแล้วก็ยังไม่หลับ" - บางคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ หมออาจจะให้กินยานอนหลับทุกคืนเป็นช่วงสั้นๆไม่กี่เดือน
แต่แล้วก็จะมีคืนที่มีเรื่องเข้ามาที่จะทำให้เรานอนไม่หลับได้
จึงควรตกลงกับหมอว่า หากกินยานอนหลับแล้ว 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่หลับ จะให้ทำยังไงต่อ เช่นให้กินยานอนหลับเพิ่มอีก 1 เม็ดไหม แล้วถ้าผ่านไป 1 ชั่วโมงแล้วยังไม่หลับอีก จะสามารถกินยานอนหลับเพิ่มได้อีกไหม ได้ไม่เกินเท่าไหร่ - กรณีฉุกเฉิน “ทนไม่ไหวแล้ว” อยากวีน อยากฆ่าตัวตาย กินยาเกินขนาด อยากทำร้ายคน ทำลายข้าวของ - ชีวิตทุกคนมีเหตุฉุกเฉินแบบนี้ได้บ่อยๆ
แต่พวกเราหลายคน (โดยเฉพาะในช่วงอาการ) เวลาเกิดเหตุแบบนี้แล้วอันตราย คนที่พยายามฆ่าตัวตายก็เพราะเลยจุดนี้ไป
เราจึงต้องหยุดที่จุดนี้ให้ได้ ดังนั้นควรตกลงกับหมอว่า เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน “ทนไม่ไหวแล้ว” จะให้ทำยังไง เช่นให้กินยามื้อที่เหลือแล้วนอนเลย แล้วถ้านอนไม่หลับ (ซึ่งน่าจะเกิด) ให้กินยานอนหลับมากกว่าปกติได้ไหม ได้ไม่เกินเท่าไหร่ - เมื่อคิดอยากฆ่าตัวตาย ครุ่นคิดเรื่องวิธีการ - ไม่ต้องรอวันนัด รีบนัดหมอโดยเร็วที่สุด บอกเจ้าหน้าที่ว่ามีความคิดเรื่องนี้ โทรสายด่วนสุขภาพจิต 1323 หรือ สะมาริตันส์ ทันที แล้วเล่าให้เค้าฟัง เล่าให้คนใกล้ตัวที่เข้าใจเรา และเล่าให้เพื่อนๆในซัปพอร์ตกรุ๊ปฟังด้วย
2) ขาดยาวันเดียวเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่สุด
สิ่งที่พวกเราหลายคนเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงคือ “ขาดยาวันเดียวไม่เป็นไร” ต้องขาดยานานๆถึงไม่ดี ความจริงสำหรับยาจิตเวชมันตรงข้าม
ยาจิตเวชส่วนใหญ่ (ยกเว้นยาคลายกังวล) อาศัยการสะสมในร่างกายจนถึงระดับที่มันทำงานได้พอดีๆ อาการดีเพรส/แมเนียเราก็จะหายและไม่เกิดอีก
ยาทำให้สมองเราทำงานปกติเหมือนคนที่ไม่ป่วย เมื่อเราเสถียรได้นานๆหมอก็จะค่อยๆลดยา แต่เมื่อเราหยุดยาเอง ปริมาณยาในร่างกายจะตกฮวบลงทันทีวันนั้นเลย แล้วอารมณ์เราก็จะพัง (สำหรับยาบางตัว แค่กินช้าไปไม่กี่ชั่วโมงก็เกิดปัญหาได้)
เหมือนคนที่กินกาแฟทุกเช้า สมองชินกับคาเฟอีนระดับนั้นทุกวัน พอเช้าไหนไม่ได้ทานจะง่วงจนทำอะไรไม่ได้ หลายคนถึงกับปวดหัวจนทนไม่ได้ ดังนั้นถ้าจะเลิกกาแฟก็ต้องค่อยๆลด ยาจิตเวชก็เช่นกัน เมื่อสมองเราทำงานได้ปกติเพราะยาระดับนั้น แต่พอเราขาดยาเพราะยาหมดก่อนวันนัด เราก็จะเผชิญกับ “อาการถอนยา”
มันไม่ใช่แค่อารมณ์แปรปรวนสวิงมาดีเพรสหรือแมเนีย มีอาการมากกว่านั้นซึ่งไม่สามารถบรรยายด้วยถ้อยคำ บางคนใช้คำว่าเหมือนสมองถูกไฟฟ้าช็อต การรับรู้โลกของเราจะเปลี่ยนไป อาการป่วยทั้งกายและใจสารพัดจะถาโถมเข้ามา ปวดหัว คลื่นไส้ หดหู่ ปั่นป่วน วิตกกังวลสุดขีด คนที่ผ่านอาการนี้บอกว่ามันแย่กว่าดีเพรสเสียอีก เหมือนได้รู้จักนรกในหัว
อาการถอนยาจะรุนแรงในวันแรกๆที่ขาดยา แล้วถ้ายังขาดยานานหลายๆสัปดาห์ อาการถอนยาจะค่อยๆลดลง แต่อาการดีเพรสหรือแมเนียจะยังอยู่ต่อไป
ปัญหาใหญ่คือ เมื่อเรากลับไปกินยาใหม่ หลายคนพบว่ายาขนาดเท่าเดิมจะไม่ได้ผลเหมือนเดิมแล้ว
สุดท้ายหมอเลยต้องปรับยาขึ้น
หลายคนทำแบบนี้บ่อยๆ เลยต้องเปลี่ยนไปใช้ยาตัวใหม่ๆ ซึ่งมีราคาแพงขึ้นๆ เหมือนเวลาที่เราหยุดยาปฏิชีวนะก่อนกำหนด ผลคือนอกจากจะหายช้า
แล้วยังต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แพงขึ้นๆ
แม้เราจะมีวินัยหาหมอกินยา แต่อุบัติเหตุก็เกิดขึ้นได้เสมอ เช่น หมอไปต่างประเทศ หรือเราติดปัญหาไปตามนัดไม่ได้ หรือเรากินยาเกินเลยหมดก่อนกำหนด หรือหมอคิดเลขผิดจ่ายยาขาดไป 1 วันฯลฯ ปัญหาเหล่านี้เกิดบ่อยกว่าที่คิด แต่สามารถ
ป้องกันได้โดย
- ขอให้หมอจ่ายยาเกินวันนัดไปสัก 1-2 สัปดาห์ สมมุตินัดหมอครั้งหน้าวันที่ 15 ก.พ. ก็ขอให้หมอจ่ายยาถึงวันท่ี 22 ก.พ. ทำให้เรามีความยืดหยุ่นในการไปหาหมอ สามารถพลาดไปได้ 1 สัปดาห์ แล้วครั้งต่อมาเมื่อเราไปหาหมอ อย่าลืมแจ้งหมอว่าเรามียาเหลืออยู่ได้อีกกี่วัน หมอจะได้คำจำนวนยาที่จะจ่ายครั้งนี้ถูก
- เมื่อได้ใบสั่งยาให้คำนวณปริมาณยาเองด้วย ว่าได้ครบจำนวนวันที่ตกลงกัน หมอเป็นอาชีพที่ชีวิตวุ่นวายมาก บางทีจะคำนวณเลขง่ายๆผิดได้
- ถ้าถึงวันนัดแต่หมอเราไม่อยู่ หรือเราพลาดวันนัดแล้ววันอื่นหมอไม่ได้เข้า ให้เราไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาอย่างเดียว แจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามารับยา แล้วเค้าจะให้หมอคนอื่นเขียนใบสั่งยาให้แทน แล้วค่อยไปเจอหมอในนัดครั้งต่อไป
- เวลาเดินทาง เปลี่ยนที่นอน หลายคนลืมเอายาไป (ผมก็เคย) ถ้าเกิดแบบนี้ให้ยกเลิกกิจกรรมทั้งหมด แล้วกลับไปเอายาก่อนที่จะเกิดอาการถอนยา (ผมก็ทำแบบนั้น ยกเลิกทริป ขับรถหลายร้อยกิโลกลับไปเอายา) ณ เวลานั้นไม่มีอะไรสำคัญกว่านี้แล้ว เพราะถ้าปล่อยตัวเองขาดยา การรักษาอาจจะยุ่งยากขึ้นมาก
- อย่าใช้ความจำเพื่อกินยา ไม่มีใครจำสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำได้ ดังนั้นให้จัดยาใส่ตลับยาไว้ล่วงหน้า วางไว้ในจุดเดิมเสมอ ตั้งนาฬิกาปลุกในมือถือให้เตือนเวลากินยาทุกมื้อ ส่วนเวลาเดินทางจะจัดตลับยาไว้ล่วงหน้ายาวๆก็ปลอดภัยดี
- หยุดยาเองไม่ได้เด็ดขาด ไม่เหมือนหวัด โรคจิตเวชพอเราไม่มีอาการแล้ว ไม่ได้แปลว่าเราหายแล้ว แต่แปลว่ายามันทำงานอยู่อย่างได้ผล
เมื่อหยุดยาอาการก็จะกลับมาทันทีพร้อมกับนรกในหัว
หรือถ้าทนจนผ่านไปได้ แล้วอาการกลับมารอบหน้าก็มักจะหนักขึ้นและหายยากขึ้น โรคที่รักษาได้ จะกลายเป็นต้องกินยาตลอดชีวิตเพราะคิดเอาเองแบบนี้ เราไม่ได้เรียนมาทางนี้ ให้หมอวินิจฉัยดีกว่าว่าเราหายแล้วจริงๆ
3) นิยามคำว่า "โอเค" ให้ชัดเจน
เวลาเป็นหวัดเราไปหาหมอจนกระทั่งหวัดหาย หรือรักษาไปไม่หายสักทีเราก็จะบ่นกับหมอ หรือแม้แต่เปลี่ยนหมอ จะเห็นว่าโรคทางกายคำว่า “โอเค” มันชัดเจน แต่โรคจิตเวช คำว่า “โอเค” มันขึ้นกับเราเป็นคนบอก
ปัญหาคือคนไทยเรายังไงก็ขี้เกรงใจ เมื่อหมอรักษาเราดีขึ้นสักนิดนึง เราก็อยากจะบอกหมอว่าเรา “โอเค” ขึ้น เหมือนถ้าเราไม่ดีขึ้นจะเป็นความผิดของเราและหมอ ผลคือรักษาไปพวกเราจำนวนมากจะไปตกอยู่แถวดีเพรสอ่อนๆ ซึ่งหมายถึงเราทำงานได้แต่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ไม่เต็มศักยภาพของเรา
ถึงจุดนี้มันจะฟังดูโอเคสำหรับหมอถ้าเราเล่าว่า “ทำงานได้แล้วครับ แต่ผมเหมือนขี้เกียจๆเอง” แล้วหมอก็จะคงให้เราอยู่ตรงนี้ต่อไป หลายคนเป็นปี อยู่กับความรู้สึกท้อแท้ ไม่มีอนาคต ไม่ดีเพรสขนาดติดเตียง แต่ไม่มีความสดชื่นแบบคนทั่วไป
ดังนั้นเราควรตั้งเป้าหมายการรักษาให้ชัดเจน เราจะต้อง “โอเค” จริงๆ และนิยามคำว่าโอเคคือ เราจะ “รู้สึกปกติเหมือนก่อนป่วย”
หรือถ้านึกไม่ออก พูดง่ายๆคือ ตอนนั้นเราจะไม่รู้สึกว่าตัวเองป่วย ชีวิตเราจะมีปัญหาก็ได้ รื่นเริงก็ได้
เหมือนคนทั่วไป เมื่อเรานิยามเป้าหมายแล้ว ก็ยืนยันกับหมอให้ชัดเจนเสมอว่า อาการตอนนี้เรา “โอเค” แล้วจริงๆหรือเปล่า
ถ้าไม่ก็ขอให้หมอปรับยาไปจนกว่าเราจะโอเคจริงๆ
หรือถ้ารักษาไปนานแล้วไม่หายสักที หรือดูท่าทีหมอไม่ค่อยใส่ใจเรา เราก็เปลี่ยนหมอได้เหมือนโรคอื่นๆ
4) จดโน้ตหัวข้อ เรื่องที่ตั้งใจจะเล่า และ คำถามที่ตั้งใจจะถาม
เมืองไทยมีจิตแพทย์น้อยมาก ดังนั้นจิตแพทย์จะมีเวลาให้เราแต่ละคนน้อย ถ้าเราไปนั่งนึกเอาตอนนั้นจะเสียเวลาอันมีค่าไปเปล่าๆ ยิ่งถ้าเราไม่เคยเล่าปัญหาให้ใครฟังจะยิ่งเล่าไม่ออก ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไปก่อนทุกนัด อย่างน้อยระหว่างนั่งรอพบหมอก็ใช้เวลานี้เตรียมตัวไปก็ได้
ให้จดโน้ตเป็นข้อๆ เรื่องที่ตั้งใจจะเล่า และ คำถามที่ตั้งใจจะถาม ใส่กระดาษหรือมือถือไว้ พอเจอหมอก็เล่าไปแล้วก็ขีดทิ้งไปทีละข้อ ทำแบบนี้ก็มั่นใจได้ว่าจะเล่าและถามได้ครบ ไม่งั้นหลายคนออกจากห้องตรวจแล้วจะเจ็บใจทุกที เพราะตั้งตัวไม่ทันเลยไม่ได้คุยอะไรกับหมอเลย
โรคจิตเวชรักษาหายได้
เป็นความลับที่คนไม่รู้ โรคจิตเวชรักษาหายได้เป็นเรื่องปกติ คนป่วยส่วนใหญ่รักษาไปก็หาย แต่สังคมไม่รู้สึกแบบนั้นเพราะอะไร? เพราะเราเคยเห็นคนเป็นหวัดแล้วหาย แต่เราไม่เคยเห็นคนเป็นโรคซึมเศร้าแล้วหาย เพราะอะไร? เพราะเค้าเล่าไม่ได้ใช่ไหม
เสร็จแล้วพอเราไม่เข้าใจเลยไม่ยอมรักษา หรือรักษาไปแล้วตกอยู่แถวดีเพรสอ่อนๆ (เพราะปัญหาการสื่อสาร) ก็เลยโอเค ทนไปเพราะคิดว่าไม่มีทางหาย
เอาใหม่ คิดใหม่ โรคจิตเวชหายได้ เพียงแต่เป็นโรคที่เราต้องทุ่มเทมากพอๆกับงานในอาชีพของเรา จะได้ไม่เกิดความผิดพลาดอย่างที่เล่าในบทความนี้ ที่จะทำให้การรักษาใช้เวลานานขึ้นโดยไม่จำเป็น 4 ข้อที่เราต้องทำก็แค่ (1) ตกลงแผนฉุกเฉินกับหมอ (2) ไม่หยุดยาเองเด็ดขาดแม้แต่วันเดียว (3) นิยามคำว่า “โอเค” (4) โน้ตเรื่องที่จะคุย
แล้วถ้าเรามีวินัย (1) หาหมอ (2) กินยาตรงเวลา (3) นอนตรงเวลาและเพียงพอ (แถมออกกำลังกายประจำด้วยยิ่งดี) ทำแบบนี้ยังไงก็หาย ผมเห็นหลายคนที่คุยกันในกรุ๊ปที่ทำแบบนี้จะหายเร็วมาก ภายใน 6 เดือนถึง 1 ปีครึ่งก็ได้หยุดยาแล้ว ส่วนคนที่หายช้าเกิดจากหยุดยาเอง (โดยตั้งใจหรือพลาด) เกือบ 100% (นอกนั้นคือเริ่มรักษาช้า)
ถ้าคุณไม่ชอบโรคนี้ ทำตามบทความนี้ทุกข้อ แล้วคุณจะผ่านมันไปได้เร็วที่สุด ถ้าต้องการเพื่อนร่วมทาง ไม่ต้องต่อสู้กับโรคนี้คนเดียวก็ สมัครเข้ามาในซัปพอร์ตกรุ๊ปของเรา และหากคุณรู้จักใครที่กำลังต่อสู้อยู่กับโรคนี้ก็แชร์บทความนี้ให้เค้าด้วย