❤️ เจอยาที่ใช่ รักษามานานหลายปี ไม่มีช่วงดีเพรสหรือแมเนียยาวๆแล้ว แต่ชีวิตก็ยังพังๆอยู่ ไม่กลับไปราบรื่นเหมือนก่อนป่วย ผมเป็นแบบนั้นอยู่ราวสิบปีกว่าจะเข้าใจว่าจะหายได้ยังไง อ่านบทความนี้จะได้ไม่ต้องเสียเวลาแบบผม
ความหงุดหงิดนี้สามารถสะสมไปจนระเบิดในที่สุด ทำให้เราสวิทย์ลงไปช่วงดีเพรส (หรือแมเนีย) จนได้ ที่แย่คือสาเหตุส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่มีทางแก้ กดดันเราไปจนถึงจุดที่ “รับไม่ได้” เราก็เลยระเบิด (ใส่คนสุดท้ายที่เป็นต้นเรื่อง) แถมขณะระเบิด สติไม่เหลือแล้ว หลายคนจึงทำสิ่งที่ทวีคูณปัญหาให้บานปลายขึ้นไปอีก อย่างการทำร้ายตัวเองก็มักจะเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นถ้าแก้ได้เราก็จะปลอดภัยจริงๆ
แทบทุกคนหวังว่ายาจะช่วยแก้ปัญหานี้ ผมก็เคยเข้าใจงั้น นึกว่าจะมียาที่เวิร์ก กินแล้วอารมณ์ดี ไม่มีปัญหาในชีวิตอีก แต่
แต่ “ชีวิตปกติ” ก็จะต้องเจอเรื่องที่ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง จำได้ว่าสมัยก่อนป่วยเราเคยรับได้สบายๆ แต่หลังป่วยเราบางทีไม่อยากรับเรื่องไม่ถูกใจแล้ว เหมือนเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นแผลฉกรรจ์ เปราะบาง เจอปัญหามามากเต็มทีแล้ว รับปัญหาไม่ได้อีกแล้ว อยากให้ยาช่วยจัดการไปให้หมด แต่
สิ่งที่ต่างคือ เราบอกตัวเองว่า เราจะไม่ยอมรับความรู้สึกแย่ๆแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว สาเหตุมาจากช่วงดีเพรส มันคือความรู้สึกว่า “ฉันไม่ไหวแล้ว” ตอนนั้นเราอยากหายอยู่ตลอดเวลา และเมื่อหลุดจากช่วงดีเพรส เราก็เลยเกลียดกลัวความรู้สึกแย่ๆนั้นที่สุด “เข็ดแล้ว อย่ามาเจอกันอีกเลย”
เราเชื่อว่าสวดมนต์จะไล่ผีได้ เราเลยสวดมนต์ไม่หยุดทั้งคืน แทนที่จะเดินไปเปิดไฟ ทั้งที่ถ้าเปิดไฟแล้วเปิดตู้ดูก็จะพบว่ามันเป็นแค่หนูตัวหนึ่ง การพบหนูในตู้ก็เป็นเรื่องแย่ เพราะเราต้องจัดการปัญหานั้น แต่มันเทียบไม่ได้กับความกลัวที่เราจินตนาการอยู่ทั้งคืน เช่นเดียวกัน ปัญหาที่เลวร้ายที่สุด ก็ไม่แย่เท่าความเกลียดกลัวปัญหาที่ทบทวีคูณเป็นแรมปี ซึ่งใหญ่กว่าตัวปัญหาอย่างเทียบกันไม่ได้
แปลว่าเราต้องหันไปเผชิญหน้าความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้น เหมือนทุกๆคน
นั่นคือเราต้องฝึกเพิ่มวุฒิภาวะของตัวเอง ความยืดหยุ่น ความเข้มแข็ง ความเข้าใจชีวิต เริ่มต้นด้วยการยืดอกยอมรับมือความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้น เลิกหนีหรือหันหลังให้มัน และยอมรับว่าชีวิตทุกคนนั้นเต็มไปด้วยปัญหา เป็นเรื่องปกติธรรมดา ความสุขจะแว็บเข้ามาบ้างในช่วงเวลาพิเศษแบบโปรโมชัน ที่เราเห็นคนอื่นมีแต่ความสุขเพราะไม่มีใครเอาด้านทุกข์ให้คนอื่นเห็น เรารู้สึกแต่ความทุกข์ของตัวเองเท่านั้น เราทุกคนเลยคิดว่า ฉันเป็นคนเดียวในโลกที่มีความทุกข์ แต่นั่นเป็นภาพลวงตาเฉยๆ
ถึงจุดนั้นก็คือเราหายเป็นปกติเหมือนคนอื่นแล้ว ไม่ได้ต้องรอให้ปัญหาหมดไปเลย
สถานการณ์ที่สิ้นหวัง
พวกเราทั้งที่เป็นโรคซึมเศร้าหรือไบโพลาร์ก็มักจะได้ความขี้หงุดหงิดแถมมาด้วย เมื่อเริ่มรักษาด้วยยาไปหลายๆเดือน/ปี เราจะไม่ค่อยหลุดเข้าไปช่วงดีเพรสหรือแมเนียยาวๆแล้ว ทำให้เราสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่หลายคนจะยังหงุดหงิดง่ายอยู่ความหงุดหงิดนี้สามารถสะสมไปจนระเบิดในที่สุด ทำให้เราสวิทย์ลงไปช่วงดีเพรส (หรือแมเนีย) จนได้ ที่แย่คือสาเหตุส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาเรื้อรังที่ไม่มีทางแก้ กดดันเราไปจนถึงจุดที่ “รับไม่ได้” เราก็เลยระเบิด (ใส่คนสุดท้ายที่เป็นต้นเรื่อง) แถมขณะระเบิด สติไม่เหลือแล้ว หลายคนจึงทำสิ่งที่ทวีคูณปัญหาให้บานปลายขึ้นไปอีก อย่างการทำร้ายตัวเองก็มักจะเกิดขึ้นตอนนี้ ดังนั้นถ้าแก้ได้เราก็จะปลอดภัยจริงๆ
แทบทุกคนหวังว่ายาจะช่วยแก้ปัญหานี้ ผมก็เคยเข้าใจงั้น นึกว่าจะมียาที่เวิร์ก กินแล้วอารมณ์ดี ไม่มีปัญหาในชีวิตอีก แต่
ยาป้องกันโมโหไม่ได้
จริงๆได้ ถ้าหมอเพิ่มยาคุมอารมณ์จนเราเบลอนิดๆ (บางคนจะโดนตอนแอดมิด) แต่อย่างนั้นก็ใช้ชีวิตไม่ได้ เพราะจะง่วงและคิดช้า ถ้าจะใช้ชีวิตปกติได้ ก็ต้องกินยาแค่ไม่ให้หลุดเข้าไปช่วงดีเพรสหรือแมเนียแค่นั้นแต่ “ชีวิตปกติ” ก็จะต้องเจอเรื่องที่ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง จำได้ว่าสมัยก่อนป่วยเราเคยรับได้สบายๆ แต่หลังป่วยเราบางทีไม่อยากรับเรื่องไม่ถูกใจแล้ว เหมือนเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นแผลฉกรรจ์ เปราะบาง เจอปัญหามามากเต็มทีแล้ว รับปัญหาไม่ได้อีกแล้ว อยากให้ยาช่วยจัดการไปให้หมด แต่
ยาป้องกันปัญหาไม่ได้
ยาป้องกันเรื่องไม่ถูกใจไม่ได้ และเมื่อมันเข้ามา เราก็จะต้องโกรธและ/หรือเสียใจ อันนี้ยาอะไรก็ป้องกันไม่ได้เหมือนกัน หลายคนหวังว่ายาจะป้องกันความรู้สึกพวกนี้ แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ แม้คนทั่วไปก็ต้องเจอปัญหาและเมื่อเจอปัญหาเค้าก็รู้สึกแบบนั้น แต่เราต่างจากคนทั่วไปอย่างไร?สิ่งที่ต่างคือ เราบอกตัวเองว่า เราจะไม่ยอมรับความรู้สึกแย่ๆแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว สาเหตุมาจากช่วงดีเพรส มันคือความรู้สึกว่า “ฉันไม่ไหวแล้ว” ตอนนั้นเราอยากหายอยู่ตลอดเวลา และเมื่อหลุดจากช่วงดีเพรส เราก็เลยเกลียดกลัวความรู้สึกแย่ๆนั้นที่สุด “เข็ดแล้ว อย่ามาเจอกันอีกเลย”
ผีในตู้
สมมุติเรานอนอยู่ในห้องนอนมืดๆคนเดียว กลางดึกได้ยินเสียงกุกกักๆจากตู้มุมห้อง ถ้าเรากลัวผี เราจะนึกภาพว่าผีเป็นคนทำเสียงนั้น แม้เสียงจะเงียบไปแล้ว แต่ภาพผีในหัวเรากลับจะน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ทุกวินาทีที่ผ่านไปในความมืด จนเหมือนผีที่ตัวใหญ่คับห้อง กำลังคืบคลานใกล้เข้ามาทุกทีเราเชื่อว่าสวดมนต์จะไล่ผีได้ เราเลยสวดมนต์ไม่หยุดทั้งคืน แทนที่จะเดินไปเปิดไฟ ทั้งที่ถ้าเปิดไฟแล้วเปิดตู้ดูก็จะพบว่ามันเป็นแค่หนูตัวหนึ่ง การพบหนูในตู้ก็เป็นเรื่องแย่ เพราะเราต้องจัดการปัญหานั้น แต่มันเทียบไม่ได้กับความกลัวที่เราจินตนาการอยู่ทั้งคืน เช่นเดียวกัน ปัญหาที่เลวร้ายที่สุด ก็ไม่แย่เท่าความเกลียดกลัวปัญหาที่ทบทวีคูณเป็นแรมปี ซึ่งใหญ่กว่าตัวปัญหาอย่างเทียบกันไม่ได้
สู้โว้ย!
ที่ผ่านมาเราหวังว่ายาจะช่วยไล่ผีออกไป เราเลยไม่ยอมเปิดไฟมองดูมันจริงๆ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ายาช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์เราเท่านั้น ทำให้เราไม่ดีเพรสไม่แมเนีย แต่เมื่อเจอเรื่องไม่ถูกใจ เรายังจะโกรธหรือเสียใจได้เหมือนทุกคนบนโลกแปลว่าเราต้องหันไปเผชิญหน้าความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้น เหมือนทุกๆคน
นั่นคือเราต้องฝึกเพิ่มวุฒิภาวะของตัวเอง ความยืดหยุ่น ความเข้มแข็ง ความเข้าใจชีวิต เริ่มต้นด้วยการยืดอกยอมรับมือความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้น เลิกหนีหรือหันหลังให้มัน และยอมรับว่าชีวิตทุกคนนั้นเต็มไปด้วยปัญหา เป็นเรื่องปกติธรรมดา ความสุขจะแว็บเข้ามาบ้างในช่วงเวลาพิเศษแบบโปรโมชัน ที่เราเห็นคนอื่นมีแต่ความสุขเพราะไม่มีใครเอาด้านทุกข์ให้คนอื่นเห็น เรารู้สึกแต่ความทุกข์ของตัวเองเท่านั้น เราทุกคนเลยคิดว่า ฉันเป็นคนเดียวในโลกที่มีความทุกข์ แต่นั่นเป็นภาพลวงตาเฉยๆ
สรุป
สำหรับคนที่ยังมีช่วงดีเพรสหรือแมเนียก็ยาจะช่วยเราได้มากที่สุด แต่คนที่ผ่านจุดนั้นมาแล้ว ยาทำให้เราเสถียรขึ้นแล้ว ที่เหลือเราต้องเดินทางต่อไปเอง เหมือนคนป่วยนอนติดเตียงเป็นปี พอหายโรคแล้วกล้ามเนื้อก็ลีบฝ่อไม่มีแรง เราจึงต้องฝึกตัวเองให้แข็งแรง มีงานลักษณะนี้ที่เราต้องทำเองอีกเยอะ กว่าเราจะกลับไปแข็งแรงดังเดิม เลิกเอาแต่ใจตัวเอง ฝึกตัวเองให้ปล่อยวางเก่งๆ เลิกตั้งเงื่อนไขกับชีวิตว่าต้องได้อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ยอมรับว่าชีวิตก็ต้องเต็มไปด้วยปัญหา ยอมที่จะอยู่ท่ามกลางปัญหา แล้วแก้มันไปทีละอันถึงจุดนั้นก็คือเราหายเป็นปกติเหมือนคนอื่นแล้ว ไม่ได้ต้องรอให้ปัญหาหมดไปเลย